ข่าว

'ศันสนีย์'รับงานปั้น'ผู้หญิงเข้มแข็ง'

'ศันสนีย์'รับงานปั้น'ผู้หญิงเข้มแข็ง'

18 พ.ย. 2555

'ศันสนีย์ นาคพงศ์' รับงานปั้น'ผู้หญิงเข้มแข็ง' : สัมภาษณ์พิเศษโดยสมัชชา หุ่นสาระ, จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง

               แม้จะเป็นรัฐมนตรีใหม่ แต่ก็ไม่ใช่คนหน้าใหม่ “ศันสนีย์ นาคพงศ์" ขยับจากตำแหน่งโฆษกรัฐบาล มาเป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเป็นตัวแทนของ "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" เลขาธิการนายกฯ ศันสนีย์เปิดใจถึงบทบาทหน้าที่ใหม่ โดยเฉพาะการกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเธอย้ำว่า "ไม่มีนโยบายการทำงานในเชิงอคติ แต่เราอยากทำให้ตรงไปตรงมา"

ทราบการรับตำแหน่งเมื่อใด ?
    
               ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะได้เป็นรัฐมนตรี รู้เรื่องช่วงเช้าวันที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกไปกรอกเอกสารร่วมกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ ยืนยันไม่รู้มาก่อน เพียงแต่อาจไปก่อนคนอื่น(หัวเราะ) เพราะทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล ครั้งนี้กลับมาทำงานการเมือง เรียนว่า ไม่คิดลงสมัครส.ส. ก่อนนี้ก็สนุกและกำลังเข้าที่ว่าควรทำอะไรในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกฯ และรู้ว่าควรทำสิ่งใด แต่เป็นจังหวะที่มาทำงานในตำแหน่งนี้ (รัฐมนตรี) ควรถามนายกฯ ว่าจะให้มาช่วยงานใดบ้าง (ยิ้ม) แต่ดิฉันสนุกกับการลงพื้นที่นะ

มีนโยบายอย่างไรที่จะทำให้กรมประชาสัมพันธ์มีความแตกต่างหรือจะทำเหมือนกับรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่ผ่านมา?
    
               ได้มีการคุยกับกรมประชาสัมพันธ์ นโยบายก็ชัด ยุทธศาสตร์ก็ชัด แต่จะทำอย่างไรให้สิ่งที่พวกเขา (กรมประชาสัมพันธ์) ทำให้ดียิ่งขึ้น และทำให้ได้รับการเข้าถึงให้คนดูมากยิ่งขึ้น และตอนนี้ปัญหาของพวกเขาเกิดจากการเปลี่ยนแปลง หลังจากมีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มากำกับ บทบาทพวกเขาจะต้องเปลี่ยนไป จากเดิมเป็นคนแบ่งคลื่นให้คนอื่น วันนี้กลับต้องไปขอคลื่นจากคนอื่น กรอบในการทำงานแคบลง กรอบของรายได้ยิ่งแคบลงไปใหญ่ ทั้งนี้ทั้งนั้นควรเข้าใจว่า ในความเป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของรัฐ-ประชาชน ควรจะทำหน้าที่นอกเหนือจากให้แค่ข้อมูลข่าวสาร ค่านิยมที่จำเป็นแก่สังคม สิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรม สิ่งที่เราไม่สามารถอาศัยสื่อกระแสหลักและสื่ออื่นๆ ได้ ควรจะให้คนไทยมีโอกาสชื่นชมในความเป็นศิลปวัฒนธรรมของชาติได้ด้วย ให้เป็นที่ยอมรับทั้งให้คนไทยด้วยกันภาคภูมิใจแล้วก็เผยแพร่ออกไปข้างนอก เพราะเราในวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมืองไทยต้องอยู่ในสังคมโลก ซึ่งพวกเขาก็ทำอยู่ในระดับหนึ่ง แต่คิดว่าพวกเขาน่าจะทำให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น น่าจะทำให้คนไทยรู้ว่า เราจะปรับตัวอย่างไร ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านสังคม วัฒนธรรม การเมือง ความมั่นคง เพราะเศรษฐกิจก็ทำกันเยอะ เห็นทำทุกบริบท

ภาพลักษณ์เก่าๆ ที่มองว่ากรมประชาสัมพันธ์เป็นกระบอกเสียงของรัฐเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมือง 4-5 ปีนี้ สังคมมองว่า กรมประชาสัมพันธ์มักเข้าข้างอีกข้างหนึ่ง โจมตีอีกข้างหนึ่ง ตรงนี้จะแก้ปัญหาความเข้าใจของคนในสังคมอย่างไรให้แก่อีกสีหนึ่งเข้าใจ มองตรงนี้อย่างไร?
    
               เท่าที่คุยพวกเขาพยายามที่จะถ่วงดุล แต่จะไม่เล่นการเมือง ต้องเป็นสถานีที่เป็นหน่วยงานประชาสัมพันธ์แห่งชาติ มาตรฐานก็ต้องเป็นไปตามมาตรฐานหลักการที่พวกเขาทำกันอยู่ เราไม่มีนโยบายในการทำงานในเชิงอคติ แต่เราอยากทำให้ตรงไปตรงมา แล้วก็คิดว่า หลักการในการเป็นนโยบายของพวกเขาอยู่แล้วที่ต้องประชาสัมพันธ์งานของรัฐเป็นหลักการที่สำคัญ เพราะรัฐบาลในประเทศไทยที่มาจากการที่ประชาชนบอกโจทย์ให้ว่า คุณมาทำอะไรจากนโยบายที่คุณไปหาเสียงมา เวลามาทำงานนอกเหนือจากงานนโยบายแล้ว งานอื่นๆ ที่คุณได้ทำมา คุณต้องบริหารในหน้าที่ก็ต้องบอกให้ประชาชนรับทราบว่าทำอะไร อันนี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว สมมุติว่า สื่ออื่นๆ อาจจะไม่เห็นความสำคัญบางเรื่อง แต่เราเห็นความจำเป็นที่จะต้องประชาสัมพันธ์เป็นเรื่องปกติ สื่ออื่นจะเล่นสีสันอย่างไร แต่เราอยากจะให้พวกเขายึดตามมาตรฐานมันอาจจะดูเรียบ แต่มันเรียบแบบมีหลักการ มันไม่จำเป็นต้องไปแข่งกับคนอื่นเรื่องสีสัน ควรแข่งเรื่องคุณภาพ ถ้าเป็นข่าวจะต้องกระชับ ฉับไว ตรงไปตรงมา ไม่ต้องใส่ความคิดเห็นของคนที่อ่านข่าว มันอาจจะต้องไปอยู่ในช่วงของการวิเคราะห์ คิดว่ามันน่าจะไปอยู่ในทางนั้น พยายามทำให้เป็นมาตรฐานของข่าวที่ควรจะเป็น แต่เนื่องจากว่าเราไม่ใช่สถานีเอกชนที่ต้องแข่งขันทางโฆษณา แต่ขอให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินงาน เพราะถ้าเปรียบเทียบกันจะเห็นทีวีบางสถานีได้เงินจากรัฐจำนวนมาก มากตั้งแต่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งต่างกันมากกับ 200 ล้านบาทของกรมนี้ (ยิ้ม) ก็จะต้องไปพิจารณากันต่อไปว่าจะอยู่ต่อได้ลักษณะใด

หน้าที่ดูแลกองทุนสตรีฯนั้นมีอะไรที่ต้องพัฒนาบ้าง?
    
               นายกฯ เป็นประธาน ดิฉันเป็นรองประธาน มีหน้าที่ติดตามไล่ดู ได้เดินทางลงพื้นที่ครั้งแรกที่ จ.พิษณุโลก ในโครงการนี้ และได้เห็นความเข้มแข็งและความกระตือรือร้น พบว่าพวกเธอมีความพร้อมในการทำงาน และบางคนก็มีความสงสัยในบางเรื่อง ทั้งนี้ยืนยันว่ากองทุนนี้จะเป็นกองทุนของผู้หญิงทุกคน ที่เป็นการสร้างโอกาสให้แก่ผู้หญิงที่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคม เพราะการที่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้มแข็ง เธอสามารถทำให้คนรอบข้างเข้มแข็งได้อีกจำนวนมาก และถ้าผนึกกำลังกันทั้งผู้หญิงผู้ชายจะได้พลังเยอะยิ่งขึ้น และถ้าเรามีประชาธิปไตยที่ประชาชนมีบทบาทมีส่วนร่วมก็เหมือนกับว่าให้พวกเขาช่วยกันคิดและพัฒนาชีวิตของพวกเขาเองในการใช้เงินที่รัฐบาลให้ไป ที่ไม่ใช่เงินที่ให้ไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉกนะ แต่ให้ไปสร้างรายได้หรือช่วยความจำเป็นของคุณที่เข้ากับกรอบโครงการ

ตอนนี้มีผู้หญิงที่เป็นสมาชิกกองทุนทั่วประเทศกี่คน และหากแปลงเป็นคะแนนเสียงจะได้กี่คะแนน?
    
               ลงทะเบียน 10 กว่าล้านคน แต่ที่เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้องจะเพิ่มขึ้นจาก 7 ล้านคนไปเรื่อยๆ เพราะระบบทะเบียนยังคีย์ข้อมูลเข้าไปไม่เสร็จ แต่ถามว่า ตั้งเป้าไว้เท่าไร ก็ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วแต่คุณจะเข้ามาเท่าไร แต่เบื้องต้นตอนนี้มี 10 ล้านคนเศษๆ หากถามว่า โครงการนี้ได้กี่คะแนนเสียง ตอบว่า ถ้าได้ทุกคะแนนก็จะได้อย่างที่บอก แต่มันคงไม่ได้ทุกคะแนน แต่เราพูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะจะกลายเป็นว่า เราทำนโยบายนี้เพื่อคิดหวังผลโดยตรง ซึ่งเรื่องนี้นายกฯ ระมัดระวังมาก แล้วก็จะพูดถึงผู้หญิงทุกคนตลอดเวลา เหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรทำให้ประชาชนมากกว่า

ก่อนหน้านี้จัดรายการธรรมะ วันนี้ยังจัดอยู่หรือไม่?
    
               แจ้งยกเลิก และไม่จัดแล้วหลังรับหน้าที่นี้



งานในกำกับ

    -สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (เฉพาะสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ)
    -ราชบัณฑิตยสถาน
    -สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
    -กรมประชาสัมพันธ์
    -คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ


.......................

(หมายเหตุ : ศันสนีย์ นาคพงศ์ รับงานปั้น'ผู้หญิงเข้มแข็ง' : สัมภาษณ์พิเศษโดยสมัชชา หุ่นสาระ, จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง)