ข่าว

ปักธง!ดัน'ครัวไทยสู่ครัวโลก'

ปักธง!ดัน'ครัวไทยสู่ครัวโลก'

05 พ.ย. 2555

ปักธงถิ่น 'อาหรับ' ดัน 'ครัวไทยสู่ครัวโลก' : รายงานพิเศษ : โดย...อนัญชนา สาระคู

           นโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” กำลังถูกขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ ผ่านการเร่งขยายตลาดการค้า โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่เมื่อเร็วๆ นี้ เจ้ากระทรวงพาณิชย์ “บุญทรง เตริยาภิรมย์” นำคณะผู้ประกอบการกลุ่มอาหาร เช่น ข้าว ผลไม้อบแห้ง อาหารกระป๋อง อาหารทะเลแช่แข็ง และเครื่องปรุงรส เป็นต้น ร่วมเดินทางไปเจรจาธุรกิจ ตลอดจนสำรวจโอกาสทางการค้ากับ 3 ประเทศในกลุ่มอ่าวอาหรับ (จีซีซี) ได้แก่ บาห์เรน คูเวต และดูไบ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

           ตลอดจนเดินหน้ายุทธศาสตร์การสร้างความมั่นคงทางอาหาร หรือ ฟู้ด ซีเคียวริตี้ ให้แก่กลุ่มจีซีซี โดยวางสถานะของประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหาร และเป็นศูนย์กลางในอาเซียน ในการจัดส่งสินค้าอาหารไปสู่กลุ่มประเทศอาหรับเมื่อมีความต้องการ

 

นำทัพ "ครัวไทย" บุกอาหรับ

 

           นายบุญทรงกล่าวว่า ตลาดตะวันออกกลางนับเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ จะเห็นได้จากช่วง 8 เดือนแรกของปี 2555 ที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทยกับภูมิภาคตะวันออกกลาง 15 ประเทศ มีมูลค่ากว่า 19,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 93,338 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 7,791 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้า 22,039 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

           อย่างไรก็ตาม ในบางตลาด เช่น บาห์เรน การค้าระหว่างกันยังมีไม่มากนัก จึงต้องการที่จะขยายการค้าให้มากขึ้น และนำผู้ผลิตสินค้าอาหารของไทยไปมองหาลู่ทางการขยายธุรกิจ ตลอดจนหาตัวแทนจำหน่าย รวมทั้งประชาสัมพันธ์และตอกย้ำยุทธศาสตร์การเป็นผู้ผลิตอาหารของไทยสู่ตลาดโลก ซึ่งจะเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพอาหารและความปลอดภัย และรสชาติที่อร่อยคงความเป็นไทย เพื่อให้อาหารไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล

           ขณะเดียวกัน การประชุมระดับประเทศในเวทีต่างๆ หลายประเทศต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่อง "ความมั่นคงทางอาหาร" แต่สำหรับประเทศไทยเอง เราสามารถผลิตอาหารบริโภคได้เองและเหลือพอที่จะส่งออก โดยแนวทางการเป็น ฟู้ด ซีเคียวริตี้ ที่ได้เสนอกับประเทศในกลุ่มตะวันออกกลางนั้น ไทยจะเป็นเหมือนแหล่งสต็อกอาหารให้ คือเมื่อใดประเทศในกลุ่มดังกล่าวต้องการอาหารเราก็จะสามารถจัดส่งสินค้าอาหารให้ได้ทันที รวมทั้งยังสามารถหาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านได้อีกด้วย

           "ไทยเราผลิตอาหารเหลือเกินบริโภคในประเทศอยู่แล้ว เช่น ข้าว ที่ปัจจุบันผลิตออกมาคิดเป็นข้าวสารราว 20 ล้านตันต่อปี มีการบริโภคภายในประเทศ 10 ล้านตันต่อปี ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออก และยังมีความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านจึงมีความเพียงพอในเรื่องนี้"

           ขณะที่ความคืบหน้าในการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยในระดับรัฐมนตรีกับทั้งเวียดนาม กัมพูชา และลาว ซึ่งต่างก็เห็นด้วยในหลักการและยินดีให้ความร่วมมือ โดยในการประชุมอาเซียนที่ประเทศกัมพูชากลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ก็จะมีการหารือกันในระดับผู้นำอีกครั้ง โดยจะเป็นความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพข้าว ตลอดจนด้านการตลาด และราคา ขณะเดียวกันในส่วนของภาคเอกชนก็ได้มีการจับมือร่วมกัน โดยจัดตั้งเป็นสมาพันธ์ข้าว เหมือนเป็นการเดินหน้าความร่วมมือที่ทำคู่ขนานกันไป 

 

ชี้โอกาสขยายตลาดส่งออก

 

           ทั้งนี้ โครงการครัวไทยสู่ครัวโลก แม้ว่าจะฟุบไปหลายปี แต่ก็ถูกปัดฝุ่นนำขึ้นมาสานต่ออีกครั้งภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน ผ่านการโปรโมทสินค้าอาหารในรูปแบบต่างๆ และการขยายตลาดการค้าในกลุ่มประเทศจีซีซี ก็นับเป็นอีกตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับสินค้าอาหารฮาลาลไทย เพราะกลุ่มประเทศดังกล่าวไม่มีการผลิตสินค้าอาหารเพื่อการบริโภคภายในประเทศเอง และจะนำเข้าอาหารเกือบทั้ง 100% 

           ในมุมมองของผู้ประกอบการไทยเองต่างก็เห็นโอกาสในตลาดดังกล่าว อีกทั้งเล็งเห็นศักยภาพของไทยที่จะเป็น “ครัวของโลก” ได้ พร้อมมีข้อเสนอแนะในบางด้านที่ต้องพัฒนาและแก้ปัญหา โดยเฉพาะการจัดทำข้อมูลการค้าของแต่ละประเทศที่ทันสมัย และการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์

           นายวิทวัส กาศยปนันท์ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดส่งออก บริษัท เอม ไทย อินเตอร์เทรด (2001) จำกัด ผู้ประกอบการส่งออกผลไม้สด และผลไม้แปรรูปอบแห้งบรรจุห่อ ซึ่งมีโรงงานที่ จ.จันทบุรี และลำพูน กล่าวว่า จากการศึกษาข้อมูลตลาดในหลายประเทศพบว่า ในกลุ่มตะวันออกกลางมีกำลังซื้อสูงที่สุด และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ ยังนำเข้าสินค้าอาหารมาจากทั่วโลก และจากการเดินทางไปร่วมสำรวจตลาดด้วยตนเอง ทำให้มองเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น ทั้งยังได้ผลตอบรับที่ดีผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ในกลุ่มจีซีซี คือ ลูลู่ มาร์เก็ต สนใจที่จะนำสินค้าของบริษัทออกวางจำหน่าย

           ส่วนนายไกรเสริม โตทับเที่ยง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือปุ้มปุ้ย กล่าวว่า บริษัทมีแผนในการขยายตลาดส่งออกให้มากขึ้นจากปัจจุบันมีสัดส่วนส่งออกราว 20% ซึ่งตลาดส่งออกหลักคือมาเลเซีย และจากการที่สินค้าของบริษัทได้มาตรฐานสินค้าฮาลาลจากมาเลเซียอยู่แล้ว จึงมองเห็นโอกาสที่จะขยายตลาดไปสู่ประเทศตะวันออกกลางและใกล้เคียงให้มากขึ้น ตลอดจนคนไทยที่กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ก็จะรู้จักสินค้าจากปุ้มปุ้ยเป็นอย่างดี

           “สำหรับโครงการครัวไทยสู่ครัวโลกของรัฐบาลนั้น คิดว่ามีความเป็นไปได้สูง เพราะอาหารไทยเป็นที่รู้จักและนิยมจากทั่วโลกอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องรสชาติและคุณภาพ จึงเป็นโอกาสที่จะทำให้สินค้าอาหารไทยจะเร่งขยายตลาดได้มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การโปรโมทอาหารไทยผ่านโครงการไทย ซีเล็กท์ ยังเป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างมาตรฐานของสินค้าไทยผ่านไทยแลนด์แบรนด์ ตลอดจนการสื่อสารเรื่องราวอาหารไทย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อาหารไทยในอนาคต” นายไกรเสริมกล่าวและว่า

           ส่วนในมุมมองของผู้ประกอบการเองยังต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือในด้านข้อมูลทางการค้า ซึ่งพบว่าปัจจุบัน หลายประเทศมีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ทางด้านการค้าอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้ติดตามไม่ทัน  

 

ความต้องการอาหารไทยมีสูง

 

           ด้านผู้ประกอบการอีกรายจากประเทศไทย นายพิชย์พิพรรธ ศรีตระกูลรักษ์ ประธานบริษัท พันปี กรุ๊ป (ไทย ลาว กัมพูชา) จำกัด กล่าวว่า เป็นประธานโครงการพัฒนาการเกษตรแบบมีสัญญา (คอนแทร็ก ฟาร์มมิ่ง) 5 ประเทศ (ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า) จัดส่งสินค้าเกษตร เช่น ข้าวจากลาว กัมพูชา เวียดนาม และวัตถุดิบอาหารฮาลาลจากไทย ซึ่งความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาหรับนั้นเป็นลักษณะของการค้าต่างตอบแทน หรือ เคาน์เตอร์ เทรด กับกองทุนคูเวต ฟันด์ 

           เดิมทีเคยเสนอโครงการกับประเทศไทยแต่ติดอุปสรรคด้านข้อกฎหมายไม่สามารถทำได้ จึงไปทำที่ประเทศเพื่อนบ้านแทน โดยนำเงินทุนจากกองทุนดังกล่าวไปลงทุนก่อสร้างสาธารณูปโภค เช่น เขื่อน ถนน และแลกกับผลิตภัณฑ์อาหารทั้ง ข้าว และอาหารอื่นๆ เป็นต้น

           เขากล่าวถึงนโยบายครัวไทยสู่โลก ตลอดจนการที่ประเทศไทยวางยุทธศาสตร์การเป็นฟู้ด ซีเคียวริตี้ ให้กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ว่ารัฐบาลได้เดินมาถูกทางแล้ว เพราะอาหรับยังมีความต้องการสินค้าอาหารจากไทยและกลุ่มอาเซียน และการส่งสินค้าไปหนึ่งครั้งก็ไม่ได้กระจายเพียงประเทศเดียวเท่านั้น จะมีการกระจายสินค้าไปทั่วกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเองไม่ควรที่จะดำเนินยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ลำพังประเทศเดียว แต่ควรรวมกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งของภูมิภาคและพัฒนาตลาดร่วมกัน 

           เช่น ในการประชุมอาเซียนที่ประเทศกัมพูชาระหว่าง 18-20 พฤศจิกายนนี้ จะมีการหารือร่วมกันในด้านข้าวที่เราจะไม่แข่งขันกัน แต่จะทำตลาดร่วมกัน และสัปดาห์ถัดไปจะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (เจทีซี) ระหว่างไทย-บาห์เรนในประเทศไทย ซึ่งจะลงรายละเอียดเกียวกับประเด็น ฟู้ด ซีเคียวริตี้ ด้วย

           “ผมได้รับการยืนยันจากคู่ค้าซึ่งเป็นเอเย่นต์ส่งสินค้าอาหารป้อนซูเปอร์มาร์เก็ตกว่า 100 แห่งในคูเวต ว่าทางกลุ่มอาหรับเองได้เล็งเห็นความสำคัญและความจำเป็นต่อสินค้าอาหาร จึงต้องการมีความร่วมมือกับไทยในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ในทางตรงกันข้ามประเทศในกลุ่มอาเซียนเอง มีการนำเข้าพลังงานคิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ซึ่งเราก็ต้องการความมั่นคงด้านพลังงานเช่นกัน จึงเป็นโอกาสดีในการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน” นายพิชย์พิพรรธกล่าว

 

---------------------

ลู่ทาง 'อาหารไทย' ในดูไบสดใส

 

           นอกจาก กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอาหารจากประเทศไทยได้เห็นศักยภาพของตลาดอาหรับแล้ว ยังมีคนไทยในดูไบที่เห็นโอกาสนั้นเช่นกัน และรวมกลุ่มกันเพื่อดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าอาหารไทย จัดส่งสินค้าให้ลูกค้าในดูไบและพื้นที่ใกล้เคียง เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะกลายเป็น "ครัวโลก" ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

           โดยนางพันธ์พิไล ใบหยก หุ้นส่วนในการก่อตั้งบริษัท สไมลล์ ฟู้ด สตัฟ ในดูไบ กล่าวว่า สินค้าอาหาร นับเป็นปัจจัยสำคัญที่กลุ่มประเทศในอ่าวอาหรับนำเข้ามาบริโภคเกือบทั้งหมด ขณะที่ประเทศไทยเองถือว่ามีจุดแข็งที่สามารถผลิตอาหารได้เอง ทั้งยังพบว่าคนในแถบนี้รู้จักอาหารไทยกันดีมากอยู่แล้ว จะเห็นได้ว่ามีร้านอาหารไทยจำหน่ายในฟู้ดคอร์ทอยู่เกือบทุกห้างสรรพสินค้า ตลาดจนคนไทย คนปากีสถาน และอินเดียที่เข้าไปทำงานในดูไบ ต่างก็ชอบอาหารไทย 

           จากโอกาสที่ว่านี้ จึงทำให้เกิดการรวมตัวกันของทางกลุ่มของคนไทยในดูไบ จัดตั้งเป็นบริษัทเน้นนำเข้าสินค้าอาหารทุกชนิดจากไทยป้อนตลาดในแถบนี้โดยเฉพาะ

           นางพันธ์พิไล เล่าว่า เดิมทีทางหุ้นส่วนซึ่งอาศัยอยู่ที่ดูไบอยู่แล้ว มีการขายสินค้าอาหารไทยแบบเดลิเวอรี่ให้คนไทยที่นั่น รวมถึงผักซึ่งปลูกเองและขายเอง แต่เมื่อตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงเห็นโอกาสและตั้งบริษัทมา แล้วพบว่ามีความต้องการสินค้าสูงมากจากทั้งคนไทยที่อาศัยในดูไบเอง ตลาดจนร้านอาหารไทย และโรงแรมต่างก็ต้องการให้เราจัดส่งวัตถุดิบในการประกอบอาหารไทยให้ ทางบริษัทจึงเตรียมขยายร้านแรกที่เปิดในดูไบให้ใหญ่ขึ้น และเตรียมจะเปิดเป็นร้านอาหารไทยและซูเปอร์มาร์เก็ตขายอาหารไทยขึ้นที่รัฐราสซาไคมา เพิ่มอีกในเร็วๆ นี้

           โดยมีแผนจะให้ร้านค้าแห่งใหม่ที่รัฐราสซาไคมา เป็นโมเดลในการขยายธุรกิจในอนาคตต่อไป ทั้งมีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่พอที่จะขยายแปลงผักเพิ่มขึ้นอีกด้วย รวมทั้งมีโครงการจัดหาพื้นที่สำหรับเป็นแวร์ เฮ้าส์ เพื่อขายส่งวัตถุดิบประกอบอาหารให้ร้านอาหารไทย และโรงแรมต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย

           “บริษัทของเรานับเป็นรายแรกที่ก่อตั้งและดำเนินการโดยคนไทยล้วนๆ ซึ่งเปิดมาได้เพียง 3 เดือนก็พบว่าผลตอบรับดีมาก และเชื่อว่าอนาคต นอกจากจะเป็นแหล่งขายสินค้าอาหารไทยแล้ว ยังจะเป็นศูนย์รวมของคนไทยในต่างถิ่นให้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้กันมากขึ้นด้วย” นางพันธ์พิไล กล่าว

           อย่างไรก็ตาม จากการดำเนินการมาพบว่ายังมีอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจอยู่บ้าง โดยเฉพาะต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่สูงมาก ซึ่งแม้ว่าทางการไทยจะทราบถึงปัญหาเหล่านี้มานาน แต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ขณะที่หลายๆ ประเทศสามารถแก้ไขปัญหาและลดอุปสรรคทางการค้าให้ผู้ประกอบการได้แล้ว โดยอุปสรรคด้านนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ไทยมีการส่งออกสินค้าเพียงขาเดียวไม่มีขานำเข้า ต้นทุนจึงสูง แต่หากมีขานำเข้ากลับมาได้เชื่อว่าจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ได้

 

--------------------

(ปักธงถิ่น 'อาหรับ' ดัน 'ครัวไทยสู่ครัวโลก' : รายงานพิเศษ : โดย...อนัญชนา สาระคู)