
ปชป.ให้ฉายา'ครม.ชินคาบิเนต'
"องอาจ" ให้ฉายาครม.ปู3 เป็น ครม.ชินคาบิเนต เชื่อมีใบสั่งหนักกว่าเดิม ไม่เชื่อเป็นการเสริมแกร่งขึ้น ด้าน "ชวนนท์" เชื่อ "แม้ว" ส่ง "เสี่ยเพ้ง" คุมพลังงาน หวังประโยชน์แน่
3พ.ย.2555 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับครม.และการแบ่งงานของ ครม.ยิ่งลักษณ์ 3 ว่า เป็นการปรับครั้งใหญ่หลายกระทรวง ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป็นการปรับ ครม.แบบชินคาบิเนต เพราะล้วนแต่มาจากเส้นสายเครือข่ายตระกูลชินทั้งสิ้น
"จึงวิตกกังวลว่า การทำงานของ ครม.จะมีปัญหาเรื่องใบสั่งตามมาหรือไม่ เพราะตลอดเวลาของรัฐบาลยิ่งลักษณ 1 และ 2 จะมีใบสั่งมาโดยตลอด ดังนั้นถ้าทำตามใบสั่งก็เพียงเพื่อประโยชน์ครอบครัวบริวารของผู้เป็นเจ้าของใบสั่ง ไม่ใช่ปรเทศชาติ จึงขอเรียกร้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมตรี ต้องนำรัฐนาวาในการไม่รับใบสั่งจากผู้มีอำนาจเหนือพรรคและรัฐบาล เพราะเป็นใบสั่งที่นำไปสู้การทุจริต คอร์รัปชั่น" นายองอาจ กล่าวและว่า
ส่วนที่นายกฯอ้างว่าการปรับครม.ครั้งนี้ทำให้การทำงานแข็งแกร่งขึ้นนั้น ตนไม่เห็นด้วย ดูตัวอย่างงานด้านความมั่นคงของประเทศว่าจะเกิดปัญหามากขึ้นทั้งเฉพาะหน้าและระยาวตามมา เพราะ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรมว.กลาโหมมีความตั้งใจทำงานกำลังไปได้ด้วยดี แต่ถูกปรับออกโดยนายกฯดูแลเองทั้งที่ไม่มีพื้นฐานความเข้าใจโดยตรง จึงเชื่อว่างานด้านความมั่นคงจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาลและประเทศชาติ
สำหรับกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ตัดสินใจรับตำแหน่งดูแลปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังจากรองนายกฯคนอื่นปฏิเสธที่จะดูแลนั้น นายองอาจ เห็นว่า การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของพรรคและพี่น้องในสามจังหวัดภาคใต้ เพราะตลอดปีกว่าที่ผ่านมานายกฯไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความรอบรู้ เข้าใจปัญหาภาคใต้เลย
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับ รมว.พลังงานว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญมากเพราะมีการลงทุนด้านนี้อยู่ เมื่อปรับจากนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ มาเป็นนายพงษ์ศักดิ์ รักตพษ์ไพศาล ซึ่งเปรียบเสมือนมือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ
"ก็มีความชัดเจนว่ากระทรวงนี้พ.ต.ท.ทักษิณปล่อยมือไม่ได้ จึงอยากถามนายพงษ์ศักดิ์ว่า มีนโยบายลอยตัวแอลพีจี เอ็นจีวี และหนี้กองทุนน้ำมันอย่างไร รวมทั้งมีแนวคิดในการดูแลดีเซลแก๊สโซออลให้ผู้ผลิตแอทเธอนอลแข่งขันได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมาความผิดพลาดด้านนโยบายทำให้เกิดผลกระทบตามมา จึงอยากให้ตอบโจทย์ประชาชนมากกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ส.ว.ใต้ชี้ไม่มีรองนายกฯคุมไฟใต้เพราะความขัดแย้ง
นายวรวิทย์ บารู ส.ว.ปัตตานี กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลไม่ได้แต่งตั้งรองนายกฯ ที่กำกับดูแลงานแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ว่า จากการติดตามพบว่ารัฐบาลยังคงใช้หน่วยงานที่ใช้เป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เหมือนเดิม คือ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่เป็นประธานทั้ง 2 หน่วยงาน ดังนั้นเชื่อว่ายุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาอาจจะยังคงใช้รูปแบบเดิม
แต่ความเห็นส่วนตัวมองว่าประเด็นที่ไม่มีรองนายกฯ ที่กำกับดูแลงานโดยตรง อาจเป็นเพราะต้องการลดปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายการเมือง และฝ่ายทหาร ที่ทำงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ แต่ตนไม่สามารถสรุปได้โดยตรงว่ารัฐบาลพยายามปรับกลยุทธแก้ปัญหา จากเดิมที่ใช้การเมืองนำการทหาร มาเป็นการทหาร นำการเมือง เพื่อเน้นยุทธศาสตร์ด้านการปราบปรามมากกว่าการพัฒนาพื้นที่หรือไม่
“แม้ว่าขณะนี้นายกฯ จะเป็นประธาน กอ.รมน. และ ศอ.บต. จริง แต่นายกฯ ไม่ได้ลงไปในพื้นที่ ก็เห็นมีแต่ แม่ทัพภาคสี่เท่านั้นที่ทำงานในพื้นที่ และเมื่อมีเหตุการณ์ ก็จะรายงานตรงมายังกองทัพบก ซึ่งผมไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ขอให้ดูกันไปว่าจะเป็นอย่างไร” นายวรวิทย์ กล่าว
นายอนุศาสตร์ สุวรรณมงคล ส.ว.สรรหา กล่าวว่าประเด็นดังกล่าว ตนแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มีการตั้งรองนายกฯ มากำกับดูแลการแก้ไขปัญหาพื้นที่ภาคใต้ อย่างที่เป็นประเพณีปฏิบัติมา ดังนั้นประเด็นดังกล่าวอาจทำให้สังคมจับตาถึงความต่อเนื่องการแก้ไขปัญหาในพื้นที่และนโยบายการทำงาน ว่าหลังจากที่ไม่มีรองนายกฯมาดูแลปัญหาโดยตรงแล้ว รัฐบาลจะให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหารหือไม่ ส่วนประเด็นที่ตั้ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรองนายกฯ เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง นั้นเชื่อว่าบทบาทและอำนาจจะไม่เหมือนครั้งที่มีตำแหน่งดูแลปัญหาโดยตรง
นายอนุศาสตร์ กล่าวต่อว่าประเด็นที่ไม่มีรองนายกฯ ดูแลการแก้ปัญหาพื้นที่ภาคใต้โดยตรง ตนเชื่อว่าไม่มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งของหน่วยงานในพื้นที่ แต่เป็นเพราะไม่มีคนที่มีคุณสมบัติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแบ่งเค้ก และโควต้ารัฐมนตรีในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รอบล่าสุดมากกว่า ทั้งนี้ตนยอมรับว่าระหว่างหน่วยงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้ มีความขัดแย้งและปีนเกลียวกันบ้าง แต่ทุกฝ่ายก็ตั้งอยู่ในความปรารถนาดีที่ต้องการแก้ไขปัญหา
“ผมขอฝากไปยังรัฐบาล ต่อประเด็นการดูแลปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ ว่าควรพิจารณาความต่อเนื่องของแก้ปัญหา และใช้ความรอบคอบ ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ ปัญหาภาคใต้ต้องใช้คนที่มีความรู้ ความสามารถ เพราะความซับซ้อนของพื้นที่มีมาก อย่างประเด็นที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ บอกว่าไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่ เพราะอยู่ส่วนกลางก็สามารถบริการจัดการปัญหาได้ ทำให้คนพื้นที่หมดขวัญและกำลังใจ” นายอนุศาสตร์ กล่าว