ข่าว

ม.บูรพาแจงนิสิตโดดตึกมีปัญหาสุขภาพจิต

ม.บูรพาแจงนิสิตโดดตึกมีปัญหาสุขภาพจิต

27 พ.ค. 2552

อธิการบดีม.บูรพาแจงนิสิตโดดตึกมีปัญหาสุขภาพจิต ไม่เกี่ยวกับการเรียน-รับน้อง เล็งอนาคตตรวจสอบสุขภาพจิตเด็กก่อนรับเข้าเรียนล้อมคอกเกิดเหตุซ้ำ เลขาธิการกกอ.วอนพ่อแม่แจ้งมหาวิทยาลัยอย่าปิดบัง หากลูกมีปัญหาสุขภาพจิต จี้อาจารย์ดูแลนักศึกษาใกล้ชิด ชี้ตรวจสุขภ

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ศ.ดร.สุชาติ อุปถัมภ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพากล่าวถึงกรณีที่นิสิตกระโดดตึกเทา-ทอง 2 ชั้น 3 มบ. ว่า เท่าที่ได้รับรายงานจากรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิตทราบว่านิสิตคนดังกล่าวมีผลการเรียนดีพอสมควรจึงติดโควต้า มาเรียนในคณะพยาบาลศาสตร์ ของมหาวิทยาลัย และเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่มหาวิทยาลัยบูรพาไม่กี่วัน ก็มากระโดดตึก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก และจากที่ได้คุยกับผู้ปกครองของนิสิตคนดังกล่าวทราบเด็กมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต และเคยไปรักษาตัวกับจิตแพทย์ แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเป็นเพราะอะไร ทำให้การที่เด็กมากระโดดตึกในมบ.ครั้งนี้ ผู้ปกครองไม่ติดใจว่าเป็นความผิดของมหาวิทยาลัย เพราะทราบปัญหา

 "ส่วนที่หลายคนพยายามที่จะนำเรื่องนี้มาโยงว่าเป็นเรื่องของการรับน้องนั้น อยากบอกว่านิสิตเพิ่งเข้ามารายงานตัว และกิจกรรมรับน้องยังไม่เกิดขึ้น จึงไม่อยากให้นำเรื่องนี้มาโยงกัน แต่จากปัญหาที่เกิดขึ้น ในอนาคตทางมบ.อาจต้องมีการตรวจสุขภาพจิตของนิสิตที่จะมาเรียนด้วย เพราะถือวิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก" ศ.ดร.สุชาติ กล่าว

เลขาธิการกกอ.วอนพ่อแม่แจ้งม.หากลูกมีปัญหา

ดร.สุเมธ   แย้มนุ่น  เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา(กกอ.) กล่าวถึงกรณีที่นิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา(มบ.)กระโดดตึกว่า สาเหตุที่นิสิตกระโดดตึกเกิดจากปัญหาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเรียนหรือการรับน้องแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม อยากผู้บริหารรวมถึงคณาจารย์มหาวิทยาลัยทุกแห่งให้ช่วยดูแลนิสิต นักศึกษาที่เข้ามาเรียนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ปกครองของนิสิตนักศึกษาที่คิดว่าบุตรหลานของตนเองมีปัญหาเรื่องของสุขภาพจิตอย่าปิดบัง และขอให้แจ้งทางมหาวิทยาลัยให้รับทราบด้วย เพื่อทางมหาวิทยาลัยจะได้ช่วยกันดูแลนิสิตนักศึกษา

"ส่วนเรื่องที่จะให้มีการตรวจสุขภาพจิตของนิสิตนักศึกษาก่อนเข้าเรียนก็เป็นเรื่องที่ดี แต่คงเป็นเรื่องที่ลำบาก เนื่องจากจำนวนนิสิตนักศึกษาที่เข้าเรียนมีมาก และการตรวจสุขภาพจิตไม่ใช่ว่าจะดูกันได้ง่ายและคงต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ถ้ามีจิตแพทย์ที่เก่งจริงๆก็อาจจะดูได้ ในระดับหนึ่ง" เลขาธิการกกอ. กล่าว

นิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาโดดตึกชั้น3เสียชีวิต

 ทั้งนี้เมื่อเวลา 06.00 น.วันที่ 26 พ.ค. พ.ต.ท.สมคิด เฮียงเสถียร สารวัตรเวร สภ.แสนสุข พ.ต.อ.สุภธีร์ บุญครอง ผกก.สภ.แสนสุข รับแจ้งว่ามีเหตุนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาโดดจากตึกเทา-ทอง 2 ถนนเทศบาล 6 มหาวิทยาลัยบูรพา อ.เมือง จ.ชลบุรี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกนำตัวมาส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา จึงรุดไปสอบสวน ทราบว่านิสิตที่ได้รับบาดเจ็บคือ น.ส.เทพศิรินทร์ จักรคำ อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105/1 ต.สระแก้ว อ.สระแก้ว จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา ปี 1 คณะพยาบาลศาสตร์ และกำลังรอมอบตัวกับทางมหาวิทยาลัย ในเดือนมิถุนายน 2552

 อาการขาหัก และอวัยวะภายในบอบซ้ำ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพาเครื่องมือแพทย์ไม่พร้อมจึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรี เพื่อรักษาตัว แต่ น.ส.เทพศิรินทร์ ทนพิษบาดแผลไม่ไหว เพราะมีเลือดตกค้างภายในร่างกาย และบอบช้ำมาก โดยได้เสียชีวิตเมื่อเวลา 12.20 น. สร้างความเสียใจให้กับแม่ของ น.ส.เทพศิรินทร์ ที่เฝ้าดูอาการไม่ห่างจากสายตา

 จากการสอบสวนทราบว่า น.ส.เทพศิรินทร์ ชอบเล่นเกมส์อินเตอร์เน็ตและเก็บตัวตลอดเวลา ทำให้เพื่อนๆนิสิตด้วยกันเป็นห่วงและได้ตัดเตือน จนกระทั่งก่อนเกิดเหตุ น.ส.เทพศิรินทร์ ได้พักที่ห้อง บี 335 ได้ออกจากห้องพัก หลังจากนั้นได้ตัดสินใจกระโดดตึกลงมาทำให้เสียชีวิตดังกล่าว

 พ.ต.อ.สุภธีร์ บุญครอง ผกก.สภ.แสนสุขกล่าวว่า น.ส.เทพศิรินทร์ มีโรคประจำตัวคือซึมเศร้า เก็บตัวเองมาตลอด และไม่ค่อยคุยกับเพื่อนๆ ที่สำคัญส่วนหนึ่งอาจมาจากที่จะต้องเดินทางจากบ้านเดิมมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยบูรพาและไม่มีเพื่อน อาจจะเกิดอาการเครียด ประกอบกับพ่อแม่เคยพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี ก่อนที่จะมาส่งบุตรสาวที่หอพัก ในที่สุด น.ส.เทพศิรินทร์ ก็ได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายในครั้งนี้

 พิษณุโลกอบรมการช่วยเหลือผู้ซึมเศร้าเสี่ยงต่อฆ่าตัวตาย

ที่ห้องสุโขทัย โรงแรมท็อปแลนด์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก ศูนย์สุขภาพจิตที่ 9 ได้จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องการช่วยเหลือผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าและผู้ที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย เนื่องจากจากสถิติที่ผ่านมานั้นพบว่าโรคซึมเศร้าได้เปลี่ยนแปลงอันดับของโรคที่เป็นภาระจากอันดับที่ 4 ในปี 25533 มาเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2563 ซึ่งหมายถึงโรคซึมเศร้าจะก่อให้เกิดความสูญเสียด้านสุขภาพของประชากรโลกเป็นเท่าตัว

 และตั้งแต่ปี 2542 พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า ปี 2551 ยังพบว่าภาคเหนือเป็นภาคที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าภาคอื่น ซึ่งอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จ ตั้งแต่ปี 2548 พบอัตราที่สูงกว่าที่กำหนดไว้ และจากการศึกษาภาวะสุขภาพจิตคนไทย ปี 2551 โดยกรมสุขภาพจิต พบผู้ป่วยที่ไม่สามารถปรับตัวได้ และลงมือกระทำการทำร้ายตนเอง ร้อยละ 10-30 มีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้า และพบสิ่งที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายมักจะเกิดความคิดจะลงมือฆ่าตัวตายภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนตัดสินใจกระทำจริง

 นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสนใจในการคัดกรองและเฝ้าระวัง จึงควรให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว ทั้งปัญหาการฆ่าตัวตายและปัญหาการเข้าถึงบริการโรคซึมเศร้าเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่สำคัญในเขตตรวจราชการสาธารณสุขที่ 17 ด้วยเหตุดังกล่าวจึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อเพิ่มความรู้แก่เครือข่ายทุกคน เพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปประสานงานต่อ จนเกิดสัมฤทธิ์ริดผลในเชิงบวก
 
 นายแพทย์ประยุกต์ เสรีเสถียร ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 9 กล่าวว่าอีกหนึ่งสาเหตุใหญ่ที่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพจิตคือเรื่องพิษภัยทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ที่ส่งผลให้เกิดความเครียด ซึ่งความเครียดดังกล่าวนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมาด้วย อาทิ การคิดสั้นผันตัวเองมาเป็นขโมย การหันไปเพิ่งพายาเสพติด และสุดท้ายเกิดการคิดฆ่าตัวตาย โดยจากาสถิติที่ผ่านมาจากการศึกษาของกรมสุขภาพจิตปรากฏว่า ที่ผ่านมานั้นมีผู้ป่วยด้วยโรคสุขภาพจิตเพิ่มขึ้น จากเดิม ร้อยละ 5.3 มาเป็นร้อยละ 5.9 ทั้งนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

 สำหรับวิธีการป้องกันการเกิดโรคดังกล่าว นายแพทย์ประยุกต์ กล่าวว่า สามารถปฏิบัติได้โดยการฝึกสมองให้ทำงานอย่างเต็มที่ และได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ทั้งนี้การรับประทานยาบำรุงต่างๆ นั้นก็จะสามารถช่วยในการผ่อนคลายสมองได้ดีอีกด้วย

 นอกจากนี้เด็กและเยาวชนมักมีอารมณ์ที่รุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยังมีคดีต่างๆที่เกิดขึ้นจากเด็กและเยาวชนมากมาย อาทิ การฆ่าตัวตาย เป็นต้น ทั้งสาเหตุหลักมาจากครอบครัว เมื่อครอบครัวเกิดความแตกแยก ส่งผลให้การเลี้ยงดูบุตรไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และเกิดความเหินห่างด้านความรัก ความเอาใจใส่ เด็กขาดความรัก และเกิดจินตนาการที่ดี จากการที่เห็นภาพผู้ใหญ่ทะเลาะกัน จึงเกิดความกดดันทางด้านความคิด ส่งผลให้เกิดภาวะเครียดและคิดหาทางออกด้วยวิธีต่างๆ อาทิ ติดยาเสพติด ติดเกมส์ สุดท้ายฆ่าตัวตาย นอกจากนี้หากใกล้ถึงช่วงวัยที่เปลี่ยนฮอร์โมน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือแม้แต่กระทั้งผู้ใหญ่ ร่างกายจะรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เปลี่ยน และเกิดอาการเครียด

 ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทุกคนในครอบครัวควรบริหารสมองด้วยการ รับประทานให้อิ่มทุกมื้อ นอนให้หลับ รวมถึงต้องออกกำลังกายด้วย ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะสามารถทำให้สมองมีการพัฒนาและเข้มแข็งขึ้น สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแออีกด้วย