
'ลิเบีย' : กุหลาบกลางทะเลทราย
'ลิเบีย' : กุหลาบกลางทะเลทราย : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร
ช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ประเทศลิเบียกลายเป็นแดนมิคสัญญีแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง หนำซ้ำยังสาหัสรุนแรงมากกว่าที่อื่น อันเนื่องจากมีชื่อติดอยู่ในบัญชีดำของอินทรีผยองอเมริกาว่าเป็น 1 ใน 4 แกนแห่งความชั่วร้ายที่สหรัฐถือเป็นศัตรูตัวฉกาจที่จะต้องเร่งกำจัดให้พ้นหูพ้นตาให้ได้ ประเดิมด้วยอิรักที่ถูกแดนคาวบอยเก่ายึดครองเป็นเมืองขึ้นเรียบร้อยแล้ว ตามด้วยลิเบีย ผ่านการสนับสนุนกองกำลังฝ่ายกบฏให้เปิดฉากทำสงครามกลางเมืองจนล้มบุรุษเหล็กอย่าง มูอัมมาร์ กัดดาฟี ได้สำเร็จ ส่วนโสมแดงเกาหลีเหนือก็มีการผลัดเปลี่ยนผู้นำรุ่นใหม่ จึงต้องดูว่าจะรอดจากจะงอยปากอินทรีที่หิวกระหายได้หรือไม่ ยังเหลืออยู่อีกแค่ประเทศเดียวก็คืออิหร่าน แต่ก็กำลังถูกมหาอำนาจปิดล้อมรอบด้าน
หลังปฏิบัติการเข่นฆ่าสังหาร พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี อย่างโหดเหี้ยมทารุณผ่านพ้นไปไม่นาน ความรุนแรงก็ปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อชาวลิเบียกลุ่มหนึ่งได้ทำร้ายเอกอัครราชทูตอเมริกาประจำลิเบียถึงขั้นเสียชีวิต สาเหตุมาจากภาพยนตร์ดูหมิ่นอิสลาม “อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิมส์” ซึ่งการประท้วงได้ขยายวงกว้างไปในหลายประเทศมุสลิม กลายเป็นหนังยาวให้น่าติดตามอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว
แต่วันนี้ผมจะนำแฟนๆ ย้อนกลับไปสู่ดินแดนหนึ่งที่ผมเคยเกาะติดไปกับเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไคโร นายจริย์วัฒน์ สันตะบุตร และคณะนิตยสารชื่อดัง “คู่สร้างคู่สม” คุณดำรง พุฒตาล ขณะนั้นประเทศลิเบียอยู่ในการดูแลของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไคโร การไปเยือนครั้งนั้น เพื่อไปดูสถานที่ที่จะตั้งเป็นสถานทูตไทยประจำประเทศลิเบีย ในกรุงตริโปลี ซึ่งในขณะนั้นลิเบียอยู่ในอำนาจของแม่ทัพผู้ทรงอำนาจอย่าง มูอัมมาร์ กัดดาฟี
นับตั้งแต่เครื่องบินเริ่มร่อนลงที่สนามบินกรุงตริโปลี ผมก็เริ่มสังเกตเห็นว่าประเทศนี้เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตอนผมไปซูดานก็ได้บอกเล่าให้แฟนๆ ฟังแล้วว่าต่างกับชาวอียิปต์อย่างไร พอมาถึงลิเบียก็กลายเป็นอีกแบบหนึ่ง ยกตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ก็คือเจ้าหน้าที่ประจำสนามบินอียิปต์จะทำงานแบบง่ายๆ เร็วๆ ผิดกับประเทศซูดาน เจ้าหน้าที่จะอืดอาดยืดยาด เชื่องช้า หากแต่มีความเป็นมิตรดี
แต่พอมาถึงลิเบีย ก็เป็นลูกครึ่ง คือผสมผสานการทำงานของสองประเทศเข้าด้วยกัน แต่ยกระดับการทำงานเป็นอินเตอร์ขึ้นมาระดับหนึ่ง โดยทางสนามบินได้จัดให้คณะของเราได้ไปอยู่ที่ห้องวีไอพี เจ้าหน้าที่ในสนามบินเองก็พูดจาสุภาพ ฟังดูดี เก๋ไปอีกแบบ ภาษาอาหรับก็ไม่ต่างจากอียิปต์และซูดานสักเท่าไหร่นัก สื่อสารกันได้หมด แต่ที่ผมชอบมากกว่านั้นก็คือบุคลิกของเจ้าหน้าที่ที่นี่ ผมชอบที่เขานิ่งและพูดสุภาพมากมาย การพูดจาประสาภาษาอาหรับก็ไม่ค่อยพูดพ่นไฟและเสียงดังเหมือนชาวอียิปต์
เมื่อออกจากสนามบิน ก็ได้พบกับน้องๆ นักศึกษาไทยที่ไปศึกษาศาสนาอยู่ที่นั้น ซึ่งเป็นรุ่นน้องร่วมโรงเรียนเดียวกับผมเอง จากการพูดซักถามเรื่องราวต่างๆ จึงรู้ว่า ลิเบีย เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูง และแม้ว่าชาวลิเบียส่วนใหญ่จะหยิ่งในศักดิ์ศรี หากแต่มีความโอบอ้อมอารีกับผู้คนต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนาเป็นอย่างดี
ตื่นเช้าขึ้นมาก็ได้กลิ่นอายของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะโรงแรมที่ไปพักอยู่ติดกับทะเล หากแต่ในตอนนั้นริมชายหาดยังไม่มีสิ่งตกแต่งให้ผิดไปจากธรรมชาติมากนัก มีเพียงพื้นทรายและน้ำทะเลสีฟ้าสดใส ห้องอาหารเช้าก็จัดเตรียมไว้สวยงาม พนักงานโรงแรมก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ทุกคนมีรอยยิ้มและการต้อนรับที่ดี
หลังจากเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารเช้าแล้วพวกเราทุกคนก็เดินทางออกจากโรงแรมเพื่อไปประชุม ขณะที่รอรถกันอยู่นั้น ผมสังเกตว่าคนขับรถที่ลิเบีย จะมีความนุ่มนวลและขับรถอย่างใจเย็นเป็นที่สุด นั่งแล้วรู้สึกปลอดภัย กอปรกับเส้นทางโล่ง โปร่ง สะอาด สบายเสียเหลือเกิน คนขับยังแอบถามผมว่า “อียิปต์คงไม่มีแบบนี้ใช่ไหม” เขาหมายถึงริมถนนที่สะอาด ฟุตบาทมีความชัดเจน ผู้คนไม่พลุกพล่าน การจราจรก็เป็นระเบียบ การเดินทางไปยังที่ประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและทันเวลา ไม่มีใครในคณะที่ร่วมเดินทางเสียอารมณ์เลยสักคน เนื่องจากท้องฟ้า อากาศ และลม พัดผ่านถ่ายเทสะดวก แม้ตอนที่ไปนั้นจะอยู่ในช่วงกลางๆ ฤดูร้อนก็ตาม
การแต่งกายของข้าราชการที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบสากลใส่สูท ภาษาอังกฤษที่ดีเยี่ยม การประชุมเป็นไปด้วยข้อตกลงที่เข้าใจระหว่างกันดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน เรื่องเศรษฐกิจ และการให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ ประเทศไทยเราไปอยู่ในสังคมประเทศไหนๆ ในโลกก็ “เอาอยู่” เสมอ เพราะการพูดจา การเข้าถึง การมัดใจในบุคลิกท่าทางอย่างท่านเอกอัครราชทูต จริย์วัฒน์ ซึ่งเรียกความเป็นเองกับทุกๆ สังคมได้ดีจริงๆ นักการทูตที่แท้จริงนอกจากเก่งแล้วต้องมีความเป็นคน เข้าใจคน ถึงจะทำสังคมคนไม่ว่าใครก็เข้าใจระหว่างกันได้ดี
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม คุณดำรงได้นัดนักศึกษามาพบปะพูดคุยกันที่หอนาฬิกาย่านตลาดเมืองเก่า ในขณะนั้น มีนักศึกษาอยู่ประมาณ 20 คน ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยดะวะห์อิสลามียะห์ ตริโปลี เป็นเด็กทุนทั้งหมด ต้องอยู่ในหอพักที่มีกฎระเบียบดูแลนักศึกษาเป็นอย่างดี ขณะที่นักเรียนไทยออกมาพบก็ยังมีตำรวจนักศึกษามายืนเฝ้าไม่ห่าง ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการเข้มงวดเพื่อความปลอดภัย
การศึกษาเป็นการสอนเหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไป ส่วนใหญ่นักศึกษาที่ลิเบียจะเน้นหนักในเรื่องหนังสือเรียนและภาษาอาหรับ ส่วนข่าวที่ว่าจะมีการฝึกอาวุธนั้นเป็นเรื่องที่นักศึกษาฟังแล้วต่างรู้สึกขำ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เพราะเป็นคำถามที่นักศึกษาศาสนาเราฟังแล้วอดขำไม่ได้ สรุปว่าอียิปต์ ซูดาน ลิเบีย และที่อื่นๆ กลายเป็นเป้าของการก่อการร้ายไปโดยปริยาย ทั้งๆ ที่นักศึกษาเหล่านี้จับปากกาเป็นเพียงอย่างเดียว
เมื่อเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ พวกเราก็ออกไปเดินชมความงามของกรุงตริโปลี ซึ่งเป็นเมืองหลวง หากแต่ประติมากรรมสิ่งก่อสร้างๆ ต่างๆ ยังคงความเก่าแก่ ความขลังไว้มาก โดยเฉพาะเสาใหญ่แต่ละต้นเหมือนที่เคยเห็นในต่างประเทศ ความสะอาดที่นี่ดีเยี่ยมจริงๆ ทุกๆ สถานที่สะอาด ขยะไม่มีให้เห็น ผู้คนที่เดินพลุกพล่านมีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าทุกคน
การแต่งกายของวัยรุ่นลิเบียทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีความทันสมัย และเป็นคนรุ่นใหม่ ทั้งรูปแบบการแต่งกาย การพูดจาทักทาย รวมถึงบุคลิกภาพที่ดูจะเรียบร้อยไม่กระด้าง และมีความสะอาดไม่ว่าจะอยู่ในช่วงบ่ายที่ผู้คนเดินซื้อของ หรือการเดินผ่านไม่มีกลิ่นเต่าให้น่ารำคาญ ไม่มีการขากเสมหะต่อหน้าต่อตา หรือแม้แต่การทิ้งขยะยังทิ้งลงถังอย่างเห็นๆ
เป็นภาพที่ผมเห็นแล้วผมรู้สึกรักคนลิเบีย ไม่ดูเป็นบ้านๆ เกินไป ไม่ดูเยอะเกินไปในหลายๆ อย่าง ดูแล้วเป็นธรรมชาติ ขนาดเดินมาถามเวลา โดยใช้ภาษาอังกฤษ พอตอบไปเป็นภาษาอาหรับอึ้งแล้วก็พูดอย่างมีมารยาท หากเป็นเด็กอียิปต์พวกเราคนไทยจะรู้ว่า เดินมาถามเวลาส่วนใหญ่แค่จะมาลองภูมิ กวน.. เราก็ไม่อยากตอบพยายามเลี่ยง เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นเสียอารมณ์ไป แต่ถ้ามาลิเบียคนละความรู้สึกกันเลย นี่เป็นแค่ความรู้สึกของผมที่ได้ไปอยู่ลิเบียแค่ไม่กี่วัน แต่เป็นการอยู่ที่เข้าถึงหลายสถานที่ ผู้คนหลายชนชั้น อย่างน้อยก็รู้ว่าประเทศนี้ไม่ได้โหดร้าย และน่ากลัวอย่าง “โลโก้ของกัดดาฟี” แต่อย่างใด
สถานที่ท่องเที่ยวในลิเบียมีมากมายคล้ายๆ กับอียิปต์ มีทั้งเมืองเก่าในกรุงตริโปลี สิ่งก่อสร้างที่มาจากประวัติศาสตร์ของการตกเป็นเมืองขึ้น โดยสร้างประติมากรรมเอาไว้ให้โลกจารึกถึงอำนาจของตัวเองในสมัยนั้น เช่น Sabratha ซึ่งกลายเป็นมรดกโลกไปแล้ว Leptis Magna โบราณสถานสถาปัตยกรรมโรมัน ทะเลทรายที่คงความสวยงามไม่ต่างจากประเทศอื่นใดในทวีปแอฟริกาอย่างเช่น ทะเลทราย Akakus ซึ่งมีความงดงามทั้งพื้นทรายเหลืองเนียนละเอียด รวมถึงภูเขาหินรูปร่างแปลกๆ กลางทะเลทรายที่น่าไปชมยิ่งนัก
ระหว่างปั่นต้นฉบับอยู่นี่ น้องอนันต์ บุหลาด ซึ่งทำงานอยู่ในสถานทูตไทยประจำลิเบีย ส่งข่าวมาว่านายจุมพล มนัสช่วง เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงตริโปลี ซึ่งเพิ่งมาประจำการใหม่ๆ ได้เริ่มต้นชีวิตในลิเบียอย่างมีความสุข ท่ามกลางน้องๆ นักศึกษาไทยที่เรียนอยู่ที่นี่ กิจกรรมแรกก็คือร่วมเลี้ยงละศีลอดกับน้องๆ พร้อมกับให้โอวาทสร้างขวัญกำลังใจให้แก่น้องๆ หลังการปฏิวัติสิ้นสุดลง น้องอนันต์แอบแซวว่า อีกไม่นานประเทศนี้คงมีคนแห่มาเที่ยวกันล้นหลาม เพราะนอกจากประเทศจะสะอาดแล้ว ผู้คนยังมีอิสระน่าเดินสวนทางเล่นจริงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่เข้าที่เข้าทางนัก เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาเมื่อไม่นานมานี้
จะว่าไปแล้วประเทศลิเบีย มีฐานความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีที่สุดประเทศหนึ่งในแอฟริกาเหนือ เศรษฐกิจของลิเบียขึ้นอยู่กับภาคพลังงาน ได้แก่ น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เรียกได้ว่า ลิเบีย เป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่ผลิตน้ำมันร่ำรวยที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้ประเทศมหาอำนาจอย่างอเมริกา และอังกฤษ ในสมัยของผู้นำอย่างมูอัมมาร์ กัดดาฟี จนทุกวันนี้
ไม่ว่าจะมีการปกครองในรูปแบบใหม่แล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังยืนยันว่าประเทศนี้ ที่โค่นล้มผู้นำไม่ใช่เพียงเพราะต้องการเสรีภาพเท่านั้น แต่ที่มีการประท้วง การปฏิวัติเกิดขึ้นเนื่องจากผู้นำไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางศาสนาที่ถูกต้องชัดเจนมากกว่าเท่านั้นเอง แต่อย่าหวังว่าประเทศลิเบียแม้ไม่มีผู้นำโลโก้รุนแรงในแบบฉบับของกัดดาฟี จะยอมอยู่ภายใต้ประเทศมหาอำนาจที่จะเข้ามาปักหลักสร้างฐานควบคุมได้ง่ายๆ แค่เรื่องภาพยนตร์ยังทำให้โลกต้องจารึกแล้ว แล้วเรื่องอื่นๆ มีหรือชาวลิเบียจะเกรงกลัวหากไม่ถูกต้องและขัดกับหลักการศาสนา
ประเทศลิเบียนอกจากจะมีความงดงามแล้วยังมีการปกป้องตัวเองอย่างละเอียดและชาญฉลาด ผมขอเปรียบประเทศนี้ว่าเหมือนกับ “กุหลาบทะเลทราย” แม้จะสวยงามมีค่าและความหมายทางความรัก แต่จะแตะจะจับต้องผ่านพิษหนามกันก่อน.. ความงามของประเทศลิเบียจึงมีค่าด้วยประการฉะนี้แล..
...............................................
( 'ลิเบีย' : กุหลาบกลางทะเลทราย : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร)