
พระราชินีทรงรับ"น้องนุ้ย"เป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์
พบอีกรายสาวใหญ่ชีวิตรันทดขาสองข้างใหญ่ผิดปกติบวมเป่งสุดทรมาน เบื้องต้นแพทย์วินิจฉัยเป็นมะเร็ง ผ่าตัดท่อปัสสาวะทิ้งปรากฏไม่พบเนื้อร้าย เมื่อถอดสายปัสสาวะออกกลับเจอโรคต่อมน้ำเหลืองอุดตันแทนส่งผลให้เกิดอาการดังกล่าว ต้องทนนั่งร้อยพวงมาลัยขายได้วันละ 100 บาท
ความคืบหน้าอาการของ ด.ญ.สุจิตรา รุ่งทอง หรือน้องนุ้ย วัย 7 ขวบ ป่วยเป็นมะเร็งกระดูกต้นขา ขาบวมกว่า 20 นิ้ว วันนี้(25พ.ค.) น.พ.กิตติพล ภัคโชตานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ได้แจ้งข่าวดีกับครอบครัวน้องนุ้ยทราบว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับน้องนุ้ยไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ท่ามกลางความปีติยินดี และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งแพทย์และครอบครัวน้องนุ้ย
ส่วนแนวทางการรักษาของทีมแพทย์ ล่าสุด พบว่าเชื้อมะเร็งยังไม่กระจายไปตามจุดอื่นๆ ตามร่างกายน้องนุ้ย ซึ่งขณะนี้ทีมหมอกำลังเร่งปรับสารอาหาร และเกลือแร่ให้ร่างกายน้องนุ้ยสมดุลโดยเร็วที่สุด ก่อนจะเริ่มใช้เคมีบำบัดอีกประมาณ 1 สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อควบคุมไม่ให้มะเร็งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ต่อไป ส่วนสาเหตุที่เลือกใช้เคมีบำบัดเพราะเนื้อที่บวมใหญ่มีเลือดผสมอยู่มาก ซึ่งการใช้เคมีบำบัดปลอดภัยกว่าการเปิดแผลด้วยเข็ม หรือเครื่องมือแพทย์อื่นๆ
สาวขาโตทนทุกข์ทรมานมานับ6ปี
ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าที่บ้านเลขที่ 25 บ้านเพียนามเหนือ หมู่ที่ 9 ต.หนองไผ่ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ มีหญิงกลางคนป่วยเป็นโรคต่อมน้ำเหลืองอุดตัน เป็นผลทำให้ขาข้างขวาบวมใหญ่ มีอาการปวดบวม เดินไปไหนมาไหนไม่สะดวก อีกทั้งต้องนั่งร้อยพวงมาลัยหาเลี้ยงตัวเองและแม่วัย 80 ปี สามีเป็นอัมพาต ลูกสาวกำลังเรียนอยู่ชั้นป. 5 ภาระทั้งหมดอยู่ที่ตัวเธอคนเดียวหมด
หลังจากเดินทางไปถึงพบนางวันดี พันธเสน อายุ 46 ปี กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่หน้าบ้าน โดยมีเพื่อนบ้านมาช่วยร้อยพวงมาลัยช่วยจำนวนหนึ่ง นางวันดี เล่าว่า ช่วงกลางปี 2546 ป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก แพทย์ในจังหวัดได้ส่งตัวไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลในจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ.2546 หลังผ่าตัดแพทย์แจ้งว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง ซึ่งตอนผ่าตัดแพทย์ได้ตัดท่อปัสสาวะออก พร้อมกับใส่สายปัสสาวะให้แทน หลังจากกลับมาอยู่บ้านได้ 5 เดือน จึงได้ถอดสายปัสสาวะออก จากนั้นขาข้างขวาก็เริ่มบวมขึ้นเรื่อยๆ แพทย์จึงส่งตัวไปรักษาที่จังหวัดขอนแก่น
“หลังจากที่ไปรับการรักษาที่จังหวัดขอนแก่นได้ครั้งสองครั้ง อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย และจะให้เดินทางไปรักษาบ่อย ๆก็คงไม่ได้เพราะไม่มีเงิน ซึ่งต่อมาแพทย์ที่ ร.พ.ในจังหวัดศรีสะเกษบอกให้เดินทางไปรักษาที่กรุงเทพฯ แต่ก็ไม่มีค่ารถจึงไม่ได้ไปรักษา และต้องทนทุกข์ทรมานอยู่จนถึงวันนี้ ” นางวันดีกล่าว
ทุกวันนางวันดีจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการนั่งร้อยพวงมาลัยเพื่อนำไปขาย โดยมีเพื่อนบ้านที่ใจบุญ และพอมีเวลาว่างมาช่วยร้อยอยู่เป็นประจำ ซึ่งรายได้จากการขายพวงมาลัยได้วันละไม่เกิน 120 บาท แต่ภาระที่นางวันดีต้องรับผิดชอบคือต้องเลี้ยงดูแม่อายุ 80 ปี สามีคือนายเรียน พันธเสน นอนป่วยด้วยโรคอัมพาตหลังจากที่เคยประกอบอาชีพรับจ้างจุนเจือครอบครัว แต่โชคร้ายประสบอุบัติเหตุรถล้มสมองได้รับกระทบกระเทือนอย่างหนัก เป็นอัมพาตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อีกทั้งลูกสาวก็กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่นางวันดีเพียงคนเดียว