ข่าว

โยเดียเซดี

โยเดียเซดี

15 ต.ค. 2555

โยเดียเซดี : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์กับ ประภัสสร เสวิกุล

             พระเจ้าอุทุมพร หรือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 มีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้าดอกเดื่อ เป็นกษัตริย์องค์ที่ 32 แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ กับกรมหลวงพิพิธมนตรี มีพระเชษฐาร่วมพระมารดา คือเจ้าฟ้าเอกทัศ  ในปี พ.ศ.2300 ทรงได้รับการสถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศสวรรคต
 
               ในปีต่อมาเจ้าฟ้าดอกเดื่อได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน  แต่เมื่อครองราชย์ได้เพียงเดือนเศษ เจ้าฟ้าเอกทัศซึ่งผนวชอยู่ก็ลาผนวชเสด็จมาประทับที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ และมีรับสั่งให้พระอนุชาคือพระเจ้าอุทุมพรเสด็จมาเฝ้า โดยเจ้าฟ้าเอกทัศประทับบนพระแท่นมีพระแสงดาบพาดพระเพลา มิได้ตรัสประการใด พระเจ้าอุทุมพรก็ทรงเข้าใจได้ว่าพระเชษฐาทวงราชสมบัติ จึงทรงสละราชบัลลังก์แล้วเสด็จไปทรงผนวชที่วัดประดู่ เจ้าฟ้าเอกทัศก็ขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่าสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศ
 
               ในปี พ.ศ.2303 พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ยกกองทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศทรงขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวชมาช่วยบัญชาการรบ จนพระเจ้าอลองพญาได้รับบาดเจ็บต้องถอยทัพกลับไป เมื่อเสร็จศึก พระเจ้าเอกทัศก็ทรงทำแบบเดิม คือให้พระอนุชาเข้าเฝ้าและทรงวางพระแสงดาบพาดพระเพลา พระเจ้าอุทุมพรจึงกลับไปผนวชที่วัดประดู่ตามเดิม
 
               เมื่อพระเจ้ามังระ พระราชโอรสของพระเจ้าอลองพญายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยานั้น พระเจ้าเอกทัศมิได้ทรงขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวชออกมาช่วยราชการเหมือนครั้งก่อน และเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา ใน พ.ศ.2310 พระเจ้าเอกทัศสิ้นพระชนม์ในเมืองไทย ส่วนพระเจ้าอุทุมพรถูกพม่ากวาดต้อนพร้อมกับเชลยไทยไปยังเมืองอังวะ และสิ้นพระชนม์ที่พม่า ประมาณปี พ.ศ.2339 ซึ่งเชื่อกันว่าพระอัฐิของพระองค์ น่าจะถูกบรรจุไว้ที่สถูปแห่งหนึ่ง เรียกกันว่า “โยเดียเซดี” ในเมืองอมรปุระ
 
               พระเจ้าอุทุมพรกลับมาเป็นที่สนใจของคนไทยอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่าทางการพม่าจะปรับปรุงพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวและจะมีการทุบทำลายโยเดียเซดีลงด้วย ซึ่งทำให้หลายคนเกิดความร้อนใจและเรียกร้องให้ทางราชการไทยหาทางยับยั้งการทำลายสถูปดังกล่าว ซึ่งในชั้นนี้ทางพม่าก็รับจะชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อน และทางกระทรวงวัฒนธรรมของไทยก็จะส่งผู้เชี่ยวชาญเดินทางไปพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าสถูปที่ว่านี้เป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าอุทุมพรหรือไม่
 
               ย้อนหลังไปในปี พ.ศ.2502 ทหารพม่าในเวลานั้นได้ทำลายสถูปเก่าแก่แห่งหนึ่งที่เมืองหาง ในรัฐฉาน ที่ชาวไทยใหญ่เรียกกันว่า “กองมูขุนหอคำไต” และเชื่อกันว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่สิ้นพระชนม์ในบริเวณดังกล่าว ชาวไทยใหญ่ให้ความเคารพนับถือสถูปแห่งนี้เป็นอย่างมาก เวลาจะรบกับทหารพม่าก็จะต้องมาบวงสรวงขอพรทุกครั้ง จนในที่สุดพม่าได้ทำการระเบิดสถูป เพื่อทำลายขวัญและกำลังใจของชาวไทยใหญ่ ต่อมาได้มีพระภิกษุชาวไทยรูปหนึ่งใน อ.เชียงดาว ได้นำเศษอิฐจากพระสถูปจำนวนหนึ่งมาให้ทหารไทย และมีชาวไทยใหญ่ได้อัญเชิญพระอัฐิที่พบในสถูปบางส่วนมาให้ด้วย ทางราชการจึงได้ดำเนินการสร้างพระสถูปบรรจุพระอัฐิขึ้นที่ ต.เมืองงาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตั้งค่ายประทับแรม ก่อนยกกองทัพไปเมืองหาง โดยมีพิธีเปิดอนุสรณ์สถานและพระสถูป เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2514
 
               กลับมาเรื่อง โยเดียเซดี อีกที ถ้าคณะผู้เชี่ยวชาญเดินทางไปตรวจสอบแล้ว ยืนยันว่าสถูปดังกล่าวไม่น่าจะเป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าอุทุมพร เรื่องก็คงจะจบลงเพียงแค่นี้ พม่าจะทำอย่างไรต่อไปก็คงเป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเรา แต่หากผลการตรวจสอบเป็นไปอีกทางหนึ่ง เราก็คงต้องเป็นฝ่ายถามตัวเองว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป จะขอให้พม่าเก็บสถูปแห่งนี้ไว้ให้ย้ายไปสร้างใหม่ที่อื่นในพม่า ซึ่งอย่างดีก็เป็นเพียงแค่จุดท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากเมืองไทย หรือจะอัญเชิญพระอัฐิ (ที่น่าจะเป็น)ของพระเจ้าอุทุมพร กลับมาไว้ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือกรุงศรีอยุธยาในอดีต หลังจากที่ทรงนิราศไปเป็นเวลานานถึง 245 ปี
 
               เรื่องนี้กระทรวงวัฒนธรรมคงต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านแล้วล่ะครับ