
จากราชบัณฑิตยสถานถึงการรับจำนำข้าว
จากราชบัณฑิตยสถานถึงการรับจำนำข้าว : บทบรรณาธิกาประจำวันที่ 5 ต.ค.2555
กระแสแรงตั้งแต่ยังไม่ทันข้ามวัน กรณีนางกาญจนา นาคสกุล ราชบัณฑิตและนายกสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย มีดำริจะเปลี่ยนแปลงการเขียนคำศัพท์ที่ยืมจากภาษาอังกฤษ หรือคำทับศัพท์ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ใหม่ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้การเขียนคำศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษ 176 คำ เขียนตรงกับเสียงวรรณยุกต์และการอ่านออกเสียงของคำนั้นๆ ตามอักขรวิธีไทย
สิ้นเสียงของราชบัณฑิตยสถาน ประชาชนต่างแสดงความเห็นผ่านสื่อเก่าสื่อใหม่รวมทั้งบนกระดานสนทนาของราชบัณฑิตยสถานคัดค้านการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างท่วมท้น มีทั้งการคัดค้านด้วยเหตุด้วยผล ทางหลักภาษาศาสตร์ รวมไปถึงเสียงก่นด่าด้วยอารมณ์ สุดท้าย น.ส.กนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน แถลงว่าเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น ยังไม่มีการสรุปให้มีการแก้ไข หลังจากมีผู้แสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ไม่เห็นด้วยถึง 90 เปอร์เซ็นต์
และหลังจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ราชบัณฑิตยสถานได้ส่งเรื่องไปที่ภาคีสมาชิก และกรรมการวิชาการของราชบัณฑิตยสถาน เพื่อรับฟังความคิดเห็นเฉพาะภายในองค์กรเป็นเบื้องต้น ด้าน ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช อดีตนายกราชบัณฑิตยสถาน เตือนว่า หลังมีการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภายในองค์กรและเสนอต่อสภาราชบัณฑิตแล้ว ควรจะมีการรับฟังความเห็นจากประชาชนด้วย เพราะถือว่าประชาชนเป็นผู้ใช้ภาษาเป็นหลัก
สิ่งที่น่าชมเชยยิ่งก็คือราชบัณฑิตยสถานยอมรับฟังเสียงคัดค้านเหล่านี้แต่โดยดี ไม่ดันทุรังจะเดินหน้าต่อไป ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนความจริงประการหนึ่งที่ขาดหายไปจากระบบราชการและสังคมไทยมานานก็คือ การน้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะผ่านการทำประชาพิจารณ์หรือการแสดงความคิดเห็นโดยอิสระปราศจากการจัดตั้งหรือมีการตั้งธงไว้ล่วงหน้า ส่วนใหญ่ยังยึดติดกับระบบอำนาจนิยม คือเคยชินกับระบบออกคำสั่งจากเบื้องบนสู่เบื้องล่างหรือมอบอำนาจการตัดสินใจให้แก่คนคนเดียวซึ่งมีโอกาสผิดพลาดได้ง่ายอันเนื่องจากมีอารมณ์ ผลประโยชน์หรืออคติเข้ามาเกี่ยวข้อง
บทเรียนที่เกิดขึ้นกับราชบัณฑิตยสถานนับเป็นเรื่องที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พึงศึกษาเป็นบทเรียน จะได้ไม่ดันทุรังเดินหน้าในนโยบายหลายนโยบายที่ประชาชนทักท้วง อาทิ โครงการรับจำนำข้าว ซึ่งแม้กระทั่งนายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ก็ยังเตือนว่า รัฐบาลจะพังเพราะนโยบายรับจำนำข้าว เนื่องจากเป็นโครงการที่ควบคุมเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นได้ยาก
เราเห็นว่ารัฐบาลควรจะจัดทำประชาพิจารณ์โดยหลักวิชาการที่แท้จริง ปราศจากการจัดตั้งหรือฟันธงล่วงหน้า เพื่อจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องว่าชาวนาได้ประโยชน์จริงหรือไม่จากนโยบายนี้ หรือเป็นการถลุงเงินภาษีหลายแสนล้านบาทโดยผลประโยชน์ตกอยู่ในมือของคนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น