
สื่อจีนกับนิวมีเดียและหนังสือยุคใหม่
สื่อจีนกับนิวมีเดียและหนังสือกำแพงยุคใหม่ (1) : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์
"ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไปไหนกับเธอเป็นมีเรื่องทุกที" คุณผุสดี คีตวรนาฎ อดีตนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และเจ้าของหนังสือพิมพ์ซิงจงเอี๋ยน หนังสือพิมพ์จีนในแดนดินถิ่นลุ่มเจ้าพระยา หันมาต่อว่ายิ้มๆ หลังจากเกิดโกลาหลนานกว่าชั่วโมง เมื่อสายการบินแอร์ไชน่า ที่จะนำคณะผู้แทนสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยรวม 8 ชีวิตมุ่งหน้าจากกรุงปักกิ่งไปยังเมืองฉางชุน เมืองเอกของมณฑลจี๋หลิน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือสุดของแดนมังกร จู่ๆ ก็ประกาศเมื่อเวลาเกือบห้าทุ่มของวันที่ 10 กรกฎาคม ว่า ได้ยกเลิกเที่ยวบินที่จะบินไปเมืองฉางชุนอย่างกะทันหันแล้ว ขอให้ผู้โดยสารทุกคนมาคืนตั๋วและไปรับกระเป๋าคืน
ทุกคนต่างใจหายวูบเมื่อรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากปล่อยให้นั่งรอร้อรอเพราะเครื่องบินดีเลย์ถึง 3 ชั่วโมง โดยไม่มีการบอกกล่าวแต่อย่างใด แต่พอเดาได้ว่าเป็นเพราะพายุฤดูร้อนพัดถล่มปานฟ้าจะทลาย ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ เป็นระยะๆ ทันใดนั้น ความโกลาหลก็เกิดขึ้นราวกับกำลังเกิดสงครามย่อยๆ เมื่อผู้โดยสารเกือบทุกคนกรูไปที่เคาน์เตอร์เพื่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ อาทิ เที่ยวบินต่อไปจะมีเมื่อใด แล้วคืนนี้จะค้างที่ไหน ใครจะรับผิดชอบ เจ้าหน้าที่ทั้งหนุ่มและสาวยืนหยัดตอบคำถามด้วยความทรหดอดทนว่า "ไม่ทราบๆๆๆ" เล่นเอาผู้โดยสารเลือดร้อนหลายคนเกรี้ยวกราดถึงกับทุบโต๊ะ ตะโกนล้งเล้งยิ่งกว่าเจ๊กตื่นไฟเสียอีก
แม้จะฟังภาษาจีนไม่ออก ดิฉันก็ไปมุงดูตามประสานักข่าวอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าจะได้คิดว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดี เพราะพรุ่งนี้เช้ามีนัดชมหนังสือพิมพ์จี๋หลินตั้งแต่เช้า แล้วคืนนี้จะพักที่ไหนดี กว่าจะหารือว่าลองไปติดต่อสายการบินอื่นดูบ้าง ปรากฏว่าช้าไปแล้ว มีคนจองเต็มแล้วตั้งแต่รู้ว่าสายการบินนี้ประกาศยกเลิกเที่ยวบิน พอคิดจะไปรถไฟโดยจะยอมทนนอนกันในรถไฟ ปรากฏว่าที่นั่งก็มีคนจองเต็มแล้วเช่นกัน เพราะพวกเรามัวแต่เสียเวลาฟังเขาเถียงกันนั่นเอง
สิ้นคำของคุณผุสดี คุณชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมคนปัจจุบันก็หัวเราะออกอาการว่าเห็นด้วยเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จากประจักษ์พยานคราวเดินทางไปกัมพูชาด้วยกันในยุคที่คุณผุสดีเป็นนายกสมาคมนักข่าวฯ เพื่อพบปะเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับหนังสือพิมพ์และสมาคมนักข่าวกัมพูชา ที่มีอยู่หลายสมาคมด้วยกัน ในวันที่จะล่องเรือจากพนมเปญไปยังเสียมราฐ ดิฉันก็เกิดเหตุถูกฟ้าผ่าเปรี้ยงนอนสลบเหมือดไปราวสิบนาที จนต้องรีบส่งตัวกลับมารักษาอาการที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กระทั่งมีโอกาสยิ้มเย้ยยุทธจักรกระทั่งทุกวันนี้
เพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงสื่ออีก 6-7 คน ที่เคยเดินทางมาเยือนแดนมังกรเป็นว่าเล่นต่างพยักหน้าสนับสนุน เพราะไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งคุณวริษฐ์ ลิ้มทองกุล แห่งเอเอสทีวีผู้จัดการ ซึ่งเรียนภาษาจีนที่ปักกิ่งนานหลายปีก็เสริมว่า อยู่ปักกิ่งมาหลายปี เพิ่งเคยเจอปัญหาเครื่องบินดีเลย์ก็คราวนี้เป็นคราวแรก
ดิฉันน้อมรับคำกล่าวหานี้แต่โดยดี มิกล้ามีคำโต้แย้งใดๆ ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะอวดว่า สู้ดิฉันไม่ได้ เดินทางมาเที่ยวจีน 2 ครั้งในเวลาห่างกันแค่เดือนเศษ แต่มีประสบการณ์เครื่องบินดีเลย์ทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกมีขึ้นเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม คราวจะบินจากเสิ่นเจิ้นไปเซียะเหมินก็เจอเครื่องบินดีเลย์กว่า 3 ชั่วโมง โดยไม่มีการบอกกล่าวใดๆ ทั้งสิ้นตามแบบฉบับคอมมิวนิสต์ คือปิดลับไม่บอกอะไร ด้วยความสงสัยดิฉันเดินไปถามเจ้าหน้าที่เป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ ว่า "ดีเลย์" เจ้าหน้าที่ก็พยักหน้าหงึกหงัก เป็นอันรู้กัน สังเกตดูว่าคนจีนอาจจะชินก็ได้ เพราะตอนดีเลย์ไม่เห็นมีใครโวยวายสักคน
ด้วยความขำ ดิฉันนึกย้อนไปถึงคราวที่ได้เชิญให้ไปประชุมสื่อที่รัฐทมิฬนาดู ทางตอนใต้ของแดนภารตอินเดียเมื่อหลายปีมาแล้ว พอไปถึงปุ๊บฝนก็กระหน่ำราวฟ้ารั่ว ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ น้ำท่วมทั่วเมือง ปรากฏว่าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเล่นเป็นข่าวใหญ่มาก ดิฉันจึงเพิ่งทราบว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เพราะรัฐนี้ไม่เคยเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าจะในรอบกี่ร้อยปีก็แล้วแต่ ดิฉันรีบยกมือไหว้ขอประทานอภัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายหากการ "มา" ของดิฉันทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สะดุ้งตื่นฉับพลันทันที โชคดีที่ไม่ต้อนรับแรงเหมือนคราวไปกัมพูชา เพราะครั้งนั้นไปคนเดียว ไม่มีเพื่อนสื่อร่วมเดินทางไปด้วย
นี่ยังไม่พูดถึงอาถรรพณ์ของการเดินทางอีกหลายเที่ยวของดิฉัน ถ้าเขียนเป็นหนังสือคงเล่มโตทีเดียว รับรองไปไหนกับดิฉันได้มีเรื่องตื่นเต้นระทึกขวัญเป็นของแถมให้เสมอ
บ่นกันดีนัก สวรรค์ก็เลย "จัดให้" ตลอดทั้งทริปนี้เจอเครื่องบินดีเลย์เป็นชั่วโมงๆ อย่างน้อย 3 ครั้งด้วยกัน ดีเลย์พอเป็นกระสายอีกหนึ่งครั้ง จนชินชาไปตามๆ กัน หลายคนชักเริ่มเคยคุ้นชนิดที่ว่า พอถึงสนามบินก็พร้อมจะทอดตัวนอนบนเก้าอี้ บางคนก็เตรียมพร้อมหางานแปลมาทำฆ่าเวลา ดิฉันสังเกตเห็นคนท้องถิ่นต่างรออย่างสงบ ไม่เคยถามไถ่ว่าเหตุใดเครื่องบินจึงดีเลย์ เพียงแต่บางแห่งรอนานเข้าก็อาละวาดทุบโต๊ะที่เคาน์เตอร์เปรี้ยงๆ ส่งเสียงล้งเล้ง สักพักเจ้าหน้าที่ก็จะนำน้ำเปล่ามาบริการผู้โดยสาร พอทุบโต๊ะดังขึ้นอีกหน่อย จากน้ำเปล่าก็เป็นน้ำขวดพร้อมของขบเคี้ยวเล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายทุบแรงจนเกือบโต๊ะเกือบพัง สายการบินก็นำผ้าห่มมาให้ห่มนอน เลยได้ข้อสรุปว่า บริการทุกอย่างขึ้นอยู่กับปริมาณความดังของการทุบเคาน์เตอร์พร้อมกับความดังของระดับเสียงเกรี้ยวกราดเหมือนงิ้วตอนกำลังท้ารบกันอยู่
แต่ต้นร้ายมักจะปลายดีเสมอ โชคดีที่วันกลับเครื่องบินไม่ดีเลย์กลับถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ ก่อนจะเห็นข่าวว่าฝนฟ้าถล่มปักกิ่งในวันรุ่งขึ้น จนน้ำท่วมใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน คนตายกว่าร้อยคน อมิตพุทธ
อาชีพนักข่าวอย่างพวกเรานี่ก็ดีไปอย่าง สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทุกสถานการณ์ได้ง่ายๆ และพร้อมจะแปลงวิกฤติเป็นโอกาสได้เสมอ สุดท้ายเจ้าหน้าที่สมาคมนักข่าวจีนที่มาต้อนรับก็ช่วยติดต่อจนกระทั่งได้โรงแรมพักหนึ่งคืน พวกเราจึงเดินโต๋เต๋ลากกระเป๋าและของฝากพะรุงพะรังมะงุมมะงาหราออกจากสนามบิน ลิฟต์ก็เต็ม บางคนตัดสินใจแบกกระเป๋าลงบันไดเลื่อนแทน ก่อนจะนั่งแท็กซี่ไปยังโรงแรมเฉียนเหมินเจี้ยนกั๋ว ผ่านจัตุรัสเทียนอันเหมินในยามเที่ยงคืน ซึ่งคงไม่มีนักท่องเที่ยวรายใดได้ยลมาก่อน กว่าจะเช็กอินโรงแรมก็เที่ยงคืน หลายคนบ่นหิว พวกเราจึงยกขบวนข้ามถนนไปหาข้าวต้มกินต้อนรับมื้อแรกของวันใหม่ในปักกิ่ง ก่อนจะกลับไปนอนเกือบตีสอง
เนื่องจากต้องตกค้างอยู่ในกรุงปักกิ่งเป็นเวลาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนครึ่ง พวกเราจึงพอมีเวลาเดินโต๋เต๋แถวพิพิธภัณฑ์ปักกิ่งในช่วงสายวันนั้น ซึ่งการจัดนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมากจากที่เคยมาชมเมื่อครั้งก่อน จากนั้นก็ไปลิ้มรสสุกี้มองโกลที่ร้านสุกี้เก่าแก่ ส่วนตอนค่ำก็สุขสำราญกับเป็ดปักกิ่งที่ร้านเป็ดย่างเปี้ยนอี่ผัง ที่เก่าแก่ถึง 600 ปี จนมีป้ายแขวนสรรพคุณด้วยความภูมิใจ
นี่แหละ พวกเราสามารถแปลงเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องอิ่มท้องด้วยเป็ดปักกิ่งรสเลิศจากร้านเก่าแก่ถึง 600 ปี ได้อย่างสบายๆ
เพื่อไม่ให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ บ่ายวันนั้นพวกเราได้เดินทางไปเยี่ยมชมหนังสือพิมพ์คมชัดลึกภาษาจีน โอ๊ะ...ขอโทษค่ะ เยี่ยมชมกลุ่มหนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวัน หรือปักกิ่ง เดลี่ กรุ๊ป (บีดีจี) ซึ่งผลิตหนังสือหัวสีที่มียอดพิมพ์ถึง 10 ล้านฉบับ ถือเป็นของแถมที่อยู่นอกกำหนดการที่คุ้มค่ามาก คุณอัน เหว่ย หัวหน้ากองอำนวยการ กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวันต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมกับเล่าว่า หนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวัน ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปี 2495 ถึงปีนี้ก็แซยิดครบ 60 ปีพอดิบพอดี เป็นหนังสือพิมพ์ที่มีผู้อ่านมากที่สุดในปักกิ่ง โดยมียอดพิมพ์วันละกว่า 4 แสนฉบับ เนื้อหาจะเน้นข่าวหนักๆ เป็นหลัก เหมาะกับกลุ่มผู้อ่านที่มีการศึกษาและกลุ่มปัญญาชน ส่วนหนังสือพิมพ์ปักกิ่ง อิฟนิ่ง หรือกรอบบ่ายที่วางจำหน่ายทั่วประเทศนั้น ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2501 เป็นหนังสือหัวสีเหมือนคมชัดลึก เน้นข่าวสังคม อาชญากรรม เหมาะกับกลุ่มชาวบ้านร้านตลาด และประชาชนทั่วไปมากกว่า แต่กลุ่มหนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวัน (บีดีจี) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเครือหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของแดนมังกรมีหนังสือพิมพ์ในสังกัดรวม 10 ฉบับ สำนักพิมพ์ 1 แห่ง และเว็บไซต์ 3 แห่ง เพิ่งตั้งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 หรือเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมานี้เอง
นอกจากหนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวัน และปักกิ่งกรอบบ่ายหรือฉบับเย็นแล้ว ในเครือยังมีหนังสือพิมพ์หลักอีกสองฉบับคือ หนังสือพิมพ์ปักกิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล โพสต์ ตั้งขึ้นเมื่อปี 2501 และหนังสือพิมพ์ชานเมืองปักกิ่ง หนังสือพิมพ์ฉบับรองหรือเฉพาะกลุ่มอีก 7 ฉบับ รวมทั้งเครือแล้วมียอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์มากถึงวันละ 2.2 ล้านฉบับ โดยสัดส่วนของผู้อ่านเป็นแบบบอกรับเป็นสมาชิกประมาณร้อยละ 60 และขายปลีกโดยหาซื้อตามแผงราวร้อยละ 40
คุณอัน เหว่ย ยังให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในอดีตนั้น ยอดการขายปลีกตามแผงหนังสือพิมพ์สูงกว่ายอดการบอกรับสมาชิกมาก เนื่องจากยุคสมัยนั้นชาวปักกิ่งนิยมปั่นจักรยานหรือเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ จึงสามารถหยุดแวะซื้อตามแผงได้ แต่ทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนไปมาก เฉพาะในปักกิ่งมีรถยนต์มากกว่า 5.3 ล้านคัน การจะแวะซื้อหนังสือพิมพ์ตามแผงจึงน้อยลง เนื่องจากไม่สะดวก อย่างเช่น รถติด ไม่มีที่จอดรถ ชาวปักกิ่งจึงหันไปสมัครสมาชิกเพื่อให้ส่งหนังสือพิมพ์ถึงบ้านแทน โดยรัฐบาลมอบหมายให้กรมไปรษณีย์เป็นผู้จัดส่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ให้ทันเวลา
ขณะนี้หนังสือพิมพ์ปักกิ่ง เดลี่ มีการบอกรับเป็นสมาชิกราว 70-80 เปอร์เซ็นต์ วางแผง 20-30 เปอร์เซ็นต์ หนังสือพิมพ์ปักกิ่ง มอร์นิ่ง มีสมาชิก 60 เปอร์เซ็นต์ วางแผง 40 เปอร์เซ็นต์ และหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายปักกิ่ง อีฟนิ่ง ขายปลีกมากกว่าสมาชิก
ในส่วนของรายได้ของหนังสือพิมพ์ในเครือหนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวันนั้น มาจากค่าโฆษณาถึงกว่าร้อยละ 80-90 และนอกเหนือจากทำธุรกิจสื่อครบวงจรแล้ว เครือกลุ่มปักกิ่งเดลี่ กรุ๊ป ยังได้สยายปีกไปประกอบกิจการอื่นๆ เพื่อหาเลี้ยงตัวเองตามนโยบายของรัฐ เหมือนกับหนังสือพิมพ์อื่นๆ ในหลายมณฑลที่ดิฉันเคยไปเยี่ยมชมมาก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ ต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเองจากกิจการเสริมอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่ทำคล้ายคลึงกันคือ ทำโรงแรม โฆษณา ร้านอาหาร ท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ ในส่วนของเครือหนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวัน ก็มีทั้งธุรกิจโรงพิมพ์ขนาดใหญ่ ธุรกิจโรงแรมผ่านโรงแรมปักกิ่ง นิวส์ พลาซ่า ซึ่งมีทั้งห้องพัก ร้านอาหาร ห้องจัดประชุม ห้องจัดนิทรรศการ ฯลฯ โดยสินทรัพย์รวมของกลุ่มหนังสือพิมพ์ปักกิ่งรายวันมีมูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านหยวน หรือ ราว 2.5 หมื่นล้านบาท ติดอันดับหนึ่งในหลายสิบกลุ่มหนังสือพิมพ์แดนมังกรที่มีรายได้และสินทรัพย์นับเป็นมูลค่าพันๆ หมื่นๆ ล้านบาท คุณอัน เหว่ย คุยอวดว่า นอกจากไม่เอางบประมาณจากรัฐแม้แต่หยวนเดียว ตรงกันข้ามกลับต้องจ่ายภาษีให้รัฐมากที่สุด
อย่างไรก็ดี พอมาถึงยุคของนิวมีเดีย หนังสือพิมพ์ก็เริ่มมีรายรับน้อยลง เนื่องจากคนหันไปดูข่าวจากเน็ตแทน ถ้าหากไม่บริการส่งหนังสือพิมพ์ถึงบ้าน เชื่อว่าอีกไม่ช้าคนก็จะไม่อ่านหนังสือพิมพ์อีกแล้ว ไม่เหมือนกับที่ญี่ปุ่น ซึ่งยังมีคนอ่านถึง 100 ล้านคน หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นจึงอยู่ได้ด้วยยอดขายถึง 95 เปอร์เซ็นต์ รายได้จากโฆษณา 5 เปอร์เซ็นต์ ผิดกับจีนที่มีรายได้จากโฆษณาราว 20-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทั้งหมดนี้แก้ไขได้ด้วยการกระตุ้นนิสัยการอ่านของประชาชนให้ชอบอ่านมากขึ้น รวมไปถึงการขยายฐานนิวมีเดีย
นับเป็นปัญหาโลกแตกของวงการสื่อสารมวลชน
..........................................
(สื่อจีนกับนิวมีเดียและหนังสือกำแพงยุคใหม่ (1) : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...บุญรัตน์ อภิชาติไตรสรณ์)