
อุทาหรณ์
อุทาหรณ์ : คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected]
สัปดาห์ที่แล้ว ตั้งใจเขียนเรื่องที่ควรพิจารณาเวลาเลือกทำประกัน ไม่ว่าจะประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันอุบัติเหตุ ที่ต้องเลือก ต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ เพราะ "ประกัน" เป็นเรื่องยืดยาว และเป็นภาระผูกพันที่ต้อง "จ่ายค่าเบี้ย" และ "อยู่กัน"นานๆ
จะเลือกบริษัท หรือจะเลือกตัวแทน ต่างก็ต้องคิดให้รอบคอบ แต่กลายเป็นว่า ปัจจุบันนี้ คนซื้อประกันผ่านทางโทรศัพท์มากกว่าการติดต่อกับบริษัทหรือการติดต่อผ่านตัวแทน
หลังจากข้อเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ก็ได้รับเมลจากผู้อ่าน ซึ่งเล่าประสบการณ์การตัดสินใจซื้อประกันผ่านโทรศัพท์ มีหลายเรื่องที่น่าสนใจ และคิดว่า เหมาะควรกับการแบ่งปันเพื่อเป็น "อุทาหรณ์" สำหรับท่านอื่นๆ
คุณผู้อ่านท่านนี้เล่าว่า ตัวเธอเองเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ตัดสินใจทำประกันชีวิตทางโทรศัพท์ผ่านการใช้บัตรสินเชื่อ
เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาของปี 2555 มีบริษัทประกันแห่งหนึ่งโทรเข้ามาแจ้งว่า เป็นนโยบายให้ลูกค้าที่มีเครดิตดี ไม่ขาดการชำระ เพื่อมอบเป็นสิทธิพิเศษอะไรสักอย่างช่วงเทศกาลสงกรานต์เกี่ยวกับการประกันอุบัติเหตุ นำเสนอรายการต่างๆ ให้ ซึ่งเธอเห็นว่า เป็นช่วงระยะสั้นๆ ก็จึงตกลงทำประกันนี้ โดยพนักงานที่แจ้งเรื่องทางโทรศัพท์ชี้แจงว่า จะจัดส่งเอกสารต่างๆ ให้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ 1-2 อาทิตย์ เพื่อให้เซ็นชื่อรับแล้วส่งกลับ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีเอกสารใดๆ ส่งมาให้ จนกระทั่งเกือบสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน มีเอกสารของบริษัทประกันดังกล่าว ส่งมาให้พร้อมแจ้งยอดชำระเงินของเดือนนั้น
"ตอนนั้น ดิฉันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกกระชากผมอย่างแรง หรือเหมือนถูกตบหัวจากคนที่ไม่รู้จัก! ดิฉันจึงโทรแจ้งกลับไปยังบริษัทประกันนั้น ว่าขอยกเลิกเอกสารและขอยกเลิกการทำประกันชีวิต เพราะเราตกลงกันว่า จะทำให้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่นี่เลยมาเกือบ 1 เดือนแล้ว เพิ่งได้รับเอกสาร แล้วถ้าช่วงสงกรานต์ดิฉันดันประสบอุบัติเหตุหรือเป็นอะไรช่วงนั้น ใครจะรับผิดชอบจ่ายเงินสินไหมทดแทนหรือค่ารักษาพยาบาล"
เธอเล่าว่า ตอนนั้นได้รับคำตอบจากพนักงานว่า ขอบันทึกการสนทนาเพื่อใช้ปรับปรุงการให้บริการของบริษัท ก่อนที่พนักงานจะบอกให้ส่งเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อจะทำเรื่องยกเลิกให้ เธอตอบกลับไปว่า ตอนตกลงทำ เราตกลงกันทางโทรศัพท์โดยที่พนักงานก็ได้บันทึกเสียงไว้ แล้วทำไมไม่ใช้หลักฐานตรงนั้น และเธอก็ไม่ได้ส่งเอกสารสำเนาไปให้ เพราะเห็นว่าได้โทรศัพท์แจ้งยกเลิกแล้ว
หลังจากนั้นมาประมาณ 4-5 เดือน ผลปรากฏว่า คุณผู้หญิงท่านนี้ถูกเรียกเก็บเงินมาโดยตลอดผ่านการใช้บัตรกดเงินสด และเรียกชำระรวมมาในยอดแจ้งหนี้ จนกระทั่งจ่ายยอดหนี้เดิมครบ จึงได้รู้ว่า ตัวเองได้จ่ายค่าประกันชีวิตที่ไม่ต้องการจะทำมา 4-5 เดือนแล้ว
"ดิฉันโทรกลับไปแจ้งพนักงานใหม่อีกครั้ง ว่าไม่ต้องการจะทำ หลังจากได้รับใบแจ้งหนี้ให้ชำระเงินในเดือนกันยายน พนักงานก็ทำตามหน้าที่ได้ดีมาก ช่วยเหลือดี อธิบายให้ฟังครบว่าต้องส่งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อขอยกเลิก ดิฉันก็เข้าใจ แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น พนักงานแจ้งกลับมาว่า สำหรับยอดเงินงวดนี้และอีก 2 งวดถัดไป ต้องชำระเข้าไปก่อนแล้วบริษัทจะคืนให้ ดิฉันถามกลับไปว่าทำไมต้องจ่ายในเมื่อขอยกเลิกแล้ว คำตอบคือ เป็นนโยบายของบริษัท"
เมื่อถามต่อว่าจะคืนให้ทางธนาณัติหรือเข้าบัญชีธนาคาร คำตอบคือ คืนเข้าในบัตรกดเงินสด ซึ่งก็คือ "สินเชื่อ" หมายความว่า ถ้าอยากใช้เงินที่บริษัทประกันคืนกลับมาให้ก็ต้องเป็นหนี้ใหม่ เพราะต้องกดจากบัตรเงินสด แต่ถ้าไม่กดมาใช้ เงินที่คืนก็รวมยอดอยู่ในบัตรสินเชื่อ ซึ่งก็เท่ากับว่า ไม่ได้เงินคืน
คุณผู้หญิงท่านนี้ปิดท้ายจดหมายด้วยประโยคสั้นๆ ว่า "ที่พิมพ์ส่งมานี้ ก็เพื่อจะเป็นอุทาหรณ์ไว้เตือนคนอื่นๆ ได้บ้าง (ว่าอย่าโง่เหมือนกับดิฉัน)"
จริงๆ ก็ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่เป็นเรื่องที่เราอาจจะมองไม่รอบ คิดไม่ถ้วน หรืออาจจะบอกว่า เป็นเรื่อง "ใจเร็วด่วนได้" ก็อาจจะไม่ผิด ถ้ายกเลิกได้แล้ว เคลียร์กันจบ เพราะเรามองไม่เห็นประโยชน์ของประกันแบบนี้แล้ว จบก็ถือว่าจบกัน แต่หลังจากนี้ก็ต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก ซึ่งข้อควรระวังสำหรับการทำประกันทางโทรศัพท์ก็อยู่ตรงที่พนักงานขายจะขอบันทึกเสียง และหากเพียงเราพูดว่า "สนใจ" หรือ "ตกลง" แค่สองคำก็มีผลผูกพันไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งเป็นระบบหักเงินจากบัตรสารพัดบัตร ซึ่งสะดวกเขา แต่ลำบากเรา ก็ยิ่งต้องใช้ความระวังในการตอบรับหรือปฏิเสธให้มากขึ้น
ส่วนเรื่องการคืนเงินประกันที่หักไปแล้วเข้าไปในบัตรเงินสด แม้ดูจะเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ค่อยได้ เพราะถ้าเราจะเอาเงินออกมา ก็หมายความว่าเราต้องก่อหนี้รอบใหม่ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องกลับไปดูเงื่อนไขที่ส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้มักจะกำหนดอย่างเข้มงวด (และส่วนใหญ่เข้าข้างตัวเอง) สุดท้ายลูกค้าก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมจำนน
มีเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองคล้ายๆ แบบนี้ คือ เมื่อตอนกู้เงินซื้อบ้าน เจ้าหน้าที่สินเชื่อของแบงก์พยายามจะขายประกันพ่วงมาด้วย เผื่อว่าคุณพี่พิการหรือตายไปก่อน ก็ไม่ต้องนอนตายตาไม่หลับว่า บ้านจะถูกยึด พอยืนยันว่า ถ้าตายจริง ประกันชีวิตที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็ครอบคลุมราคาบ้านได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำประกันเพิ่ม คุณน้องก็นำเสนอเพิ่มเติมว่า คุณพี่ไม่ต้องใช้เงินก้อนก็ได้ คุณน้องบริการเต็มที่ด้วยการเพิ่มวงเงินสินเชื่อที่จะรวมเงินเบี้ยประกันไว้ให้คุณพี่เลย ฟังดูเหมือนง่าย และดูเหมือนสบาย
แต่เพราะอยู่กับตัวเลขและเงินๆ ทองๆ มาตลอดชีวิตการทำงาน ก็เลยบอกคุณน้องไปว่า แปลว่า คุณพี่ต้องเป็นหนี้เพิ่ม และต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มให้คุณน้อง เพื่อจ่ายค่าเบี้ยประกันที่คุณพี่ไม่อยากทำ
คุณน้องนิ่งไปสักพักแล้วตอบกลับมาว่า "แหม.. คุณพี่นี่รู้เรื่องพวกนี้เยอะดีนะครับ"
.....................................
(อุทาหรณ์ : คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected])