
ปชป.พร้อมร่วมมือรบ.สานต่อรายงานคอป.
'ชวนนท์' เผยพร้อมร่วมมือ 'รัฐบาล' นำรายงาน คอป.สร้างสมานฉันท์ ย้ำทุกฝ่ายต้องยอมรับ 'ชายชุดดำ' มีจริง แฉคดี 'พัน คำกอง' บิดเบือนข้อเท็จจริง
24 ก.ย.55 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขณะนี้สังคมต้องการให้รัฐบาลได้นำรายงานผลสรุปของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการนำประเทศเข้าสู่สภาวะความปรองดอง เพราะผลโพลล์สำรวจที่ออกมาระบุชัดว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นชอบ เชื่อถือ และสนับสนุนให้รัฐบาลได้นำรายงานของคอป.มาใช้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ฝ่ายค้านให้ความร่วมมือกับการนำรายงานของคอป.มาสร้างความสมานฉันท์
"กรณีนี้ตนยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลดำเนินการตามประชาชนที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ อีกทั้งหวังว่ารัฐบาลคงเห็นด้วยกับวิธีนี้ จึงอยากจะเรียกร้องให้ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรายงานของคอป.พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ข้อเท็จจริง"นายชวนนท์ระบุ
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า การสัมมนาของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 (ศปช.) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวานนี้(23 ก.ย.) ก็เป็นที่ชัดเจนว่าในวงสัมมนาก็มีการยอมรับว่า มีชายชุดดำเป็นผู้ใช้อาวุธทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่ ตนจึงอยากจะเรียกร้องว่า ก่อนที่เราจะนำรายงานของ คอป.มาร่วมกันใช้และหาทางออกประเทศ ทุกคนในประเทศยอมรับก่อนว่า ชายชุดดำมีอยู่จริง และชายชุดดำเป็นผู้ที่ทำร้ายทหาร หากทุกคนยอมรับตรงนี้ เป็นจุดเริ่มต้นในการหาความจริงเพิ่มเติม ตนเชื่อว่าพรรคฝ่ายค้านและประชาชนส่วนใหญ่พร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาล แต่หากรัฐบาลยังยืนยันกระต่ายขาเดียวปฎิเสธการมีอยู่ของชายชุดดำ เชื่อว่าความปรองดองคงเกิดขึ้นยาก
นายชวนนท์ กล่าวต่อว่า ในรายงานสมุดปกขาวของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม อดีตทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้ชื่อว่า “การสังหารหมู่ที่กรุงเทพ ข้อเรียกร้องต่อการแสดงความรับผิดชอบ” ซึ่งเป็นสมุดปกขาวที่จัดทำขึ้นเพื่อที่จะกล่าวหารัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้นายโรเบิร์ตจะส่งสมุดเล่มนี้ไปทั่วโลก แต่วันนี้นายโรเบิร์ตกลับออกมาปฎิเสธว่าไม่มีชายชุดดำอยู่จริง ไม่มีการใช้ความรุนแรงในการชุมนุม แต่นายโรเบิร์ตคงลืมไปว่าในหน้าที่ 44 ของสมุดปกขาว ระบุไว้ว่า
“คนจำนวนมากถูกสังหารในช่วงที่เกิดเหตุรุนแรงช่วงวันที่ 10 เม.ย.2553มีการใช้ก่อนหิน ปะทัด ระเบิดขวด และอาวุธที่ประกอบกันเองอย่างง่ายๆตอบโต้กับกลุ่มทหารที่ติดอาวุธหนัก เมื่อรัฐบาลยอมหยุดยิงมีผู้เสียชีวิต 27 คน ประกอบด้วยนปช. 21 ราย และเจ้าหน้าที่ทหารอีกจำนวนหนึ่งซึ่งถูกสังหารโดยกลุ่มคนลึกลับที่เรียกว่าชายชุดดำ”
นายชวนนท์กล่าวว่า เพราะฉะนั้นแม้แต่รายงานที่ทำขึ้นเพื่อโทษรัฐบาลชุดที่แล้วยังหนีความจริงไม่พ้นว่า คนที่สังหารทหารในวันที่ 10 เม.ย.บริเวณสี่แยกคอกวัวก็คือ กลุ่มชายชุดดำ ตนจึงขอเรียกร้องว่าหากเราจะเอาความจริงเพื่อมาหาทางออกให้กับประเทศนั้น จุดแรกที่เราจะต้องยอมรับคือมีชายชุดดำทำร้ายทหารในวันนั้นจริง และควรเริ่มต้นว่าใครคือชายชุดดำ ซึ่งตรงนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีข้อมูลอยู่แล้วเหตุใดจึงไม่ดำเนินการ อย่าเดินหน้าเฉพาะในส่วนที่ฝ่ายการเมืองกดดันมา อย่าเดินหน้าเฉพาะคดีเกมการเมือง
ปชป. แฉคดี 'พัน คำกอง' บิดเบือนข้อเท็จจริง
นายราเมศร์ รัตนเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ประเด็นการไต่สวนการชันสูตรพลิกศพกรณีนายพัน คำกอง ซึ่งมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงมุ่งเอาผิดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการตั้งธงล่วงหน้าเอาผิดเพื่อเป็นเงื่อนไขออกกฎหมายล้างผิดให้คนบางกลุ่ม เเละการออกมาแถลงข่าวของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เตรียมตั้งข้อหาฆาตกรรมกับนายอภิสิทธิ์เเละนายสุเทพนั้น ทั้งๆที่ความจริงข้อกฏหมายคดีนี้เป็นเพียงการไต่สวนการชันสูตรพลิกศพ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 นั้น หลักมีอยู่ว่า ศาลไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อให้ทราบผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน เมื่อไหร่ มีเหตุและพฤติการณ์การตายอย่างไร ซึ่งไม่มีส่วนไหนชี้ว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นคนสั่งและมีเจตนาฆ่า
นายราเมศร์กล่าวว่า แต่นายธาริตและ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กลับไปขยายผลว่าจะตั้งข้อหาฆาตกรรมกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นการพูดที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ใช่วิสัยของพนักงานสอบสวนที่ดี เพราะขณะนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครทำผิด อยากเตือนนายธาริตว่าต้องอย่าลืมหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด อย่าลืมความถูกต้อง อย่าใช้กระบวนการหมาหมู่เอาผิดนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ไม่เช่นนั้นองค์กรจะเสื่อมถอย และนายธาริตก็จะล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ให้เลือกว่าจะเกษียณอายุราชการอย่างมีความสุขหรือมีความทุกข์ อย่าหลับหูหลับตารับใช้จนลืมความถูกต้อง