
'หมอป๊อป'โผล่เยี่ยมน้องกระแต
"หมอป๊อบ" เดินทางเยี่ยมพริตตี้สาว เหยื่อฉีดฟิลเลอร์ ระบุ ยินดีชดใช้ และดูค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด
วันที่ 213 ก.ย.55 จากกรณีที่ น.ส.อาทิตยา เอี่ยมใหญ่ หรือน้องกระแต พริตตี้สาววัย 33 ปี ช็อกหมดสติ สมองขาดออกซิเจนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา หลังเข้ารับการทำศัลยกรรมฉีดฟิลเลอร์เข้าสะโพกกับหมอเถื่อน ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าว จนภายหลังนายธนัช ณัชวีระกุล อายุ 24 ปี อดีตผู้ช่วยแพทย์ที่รู้จักกันในวงการเสริมความงามว่า "หมอป๊อป" เดินทางเข้ามอบตัวกับตำรวจ พร้อมให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ฉีดสารฟิลเลอร์ให้กับพริตตี้สาว เจ้าหน้าที่จึงนำตัวไปชี้จุดเกิดเหตุ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ท้องที่เกิดเหตุ ก่อนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 23 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณหน้าห้องไอซียู โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท1 ว่ายังคงมีกลุ่มเพื่อนพริตตี้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเยี่ยมน้องกระแตกันตลอดเวลา โดยมีนายละเมียด เขตขันฑ์ อายุ 64 ปี ผู้เป็นพ่อ และกลุ่มญาติเฝ้าอาการอยู่หน้าห้องไอซียู อยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันนางระเบียบ ผินกลับ อายุ 57 ปี แม่ของน้องกระแต พร้อมกลุ่มเพื่อนพริตตี้ของน้องกระแตอีกกลุ่ม ได้เดินทางไปทำบุญถวายภัตตาหารเพล และทำบุญผ้าป่าที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พร้อมทั้งขอพรจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ช่วยให้น้องกระแตฟื้นกลับมา
ต่อมาเวลา 12.30 น.นายธนัช ณัชวีระกุล หรือ "หมอป๊อป" ได้เดินทางมาขอเข้าเยี่ยมน้องกระแต พร้อมทั้งนำกระเช้าดอกไม้ พร้อมเขียนข้อความในกระดาษว่า "ถึงคุณกระแต ขอให้หายป่วยไวๆ อาการดีขึ้นในเร็ววันครับ จากป๊อป" มามอบให้นายละเมียด พ่อของน้องกระแต ก่อนจะกราบขอขมา จากนั้นแพทย์ได้อนุญาตให้นายธนัชเข้าไปเยี่ยมน้องกระแตภายในห้องไอซียู นานประมาณ 10 นาที ก่อนจะออกมาสอบถามอาการของน้องกระแต จาก นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์เจ้าของไข้
นายธนัช กล่าวว่า สาเหตุที่ตนเพิ่งเดินทางมาเยี่ยมคุณกระแตในวันนี้ ก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้กำลังตกเป็นข่าวอยู่ แต่หลังจากนี้จะพยายามเดินทางมาเยี่ยมบ่อยขึ้น เพราะอยากให้คุณกระแตอาการดีขึ้น ซึ่งตนก็รู้สึกเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้เห็นว่ายังกระพริบตาได้ แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกตัวแล้ว ซึ่งตนยืนยันว่าจะช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมทดแทน ส่วนเรื่องทางคดีนั้น หลังจากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว ทางพนักงานสอบสวนก็แจ้งว่า จะนัดตนให้ไปสอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง แต่ยังไม่ได้ระบุว่าเป็นวันไหน จากนั้นก็จะนัดให้ตนกับพ่อแม่ของคุณกระแตไปเจรจาเรื่องค่ารักษาพยาบาลกับค่าสินไหมทดแทนอีกครั้ง ส่วนเงินจำนวน 40,000 บาทที่เป็นค่าฉีดฟิลเลอร์นั้น ก็จะคืนให้พร้อมเงินค่ารักษาพยาบาลและค่าสินไหมเลย
นายธนัช กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ที่คลินิกแห่งหนึ่งเมื่อช่วงกลางปี51 จนถึงช่วงกลางปี52 ก็เลิกทำ ก่อนจะออกมาเรียนต่อด้านนิเทศศาสตร์ โดยตั้งใจว่าหลังจบจะทำงานด้านที่เรียนมา แต่เมื่อช่วง 5 เดือนก่อน ก็เริ่มมีกลุ่มคนรู้จักไปซื้อวิตามินซี ราคาหลอดละ 3 บาท มาให้ตนช่วยฉีดให้ โดยมีความเชื่อว่า ถ้าฉีดแล้วจะไม่เป็นหวัด ตนจึงเริ่มฉีดให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโดยไม่คิดเงิน แต่หากเป็นลูกค้าคนอื่นๆที่ไม่สนิทก็จะคิดราคาเข็มละ 200 บาท ส่วนสารอื่นๆ ที่เคยฉีดให้กลุ่มลูกค้านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกลูต้า หรือฟิลเลอร์ ซึ่งหากลูกค้านำมาเอง ตนจะคิดราคาเข็มละ 700 บาท ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาให้ตนฉีดก็จะเป็นพวกพริตตี้ทั่วไป ยังไม่เคยมีพริตตี้ชื่อดัง หนือนางแบบชื่อดังมาฉีดกับตนแต่อย่างใด
นายธนัช กล่าวด้วยว่า สำหรับสารฟิลเลอร์นั้น ตนเคยฉีดให้ลูกค้ามาบ้างแล้ว แต่ไม่เคยมีใครเกิดอาการแพ้ อีกทั้งตนก็ฉีดที่ใบหน้าตัวเองบริเวณจมูก ร่องแก้ม และคาง แต่ก็ไม่เคยแพ้แต่อย่างใด ส่วนกรณีของคุณกระแตนั้น ตอนแรกก็ตั้งใจจะไม่ฉีดให้ เพราะกำลังเดินเล่นอยู่ที่อื่น แต่เพื่อนบอกว่าคุณกระแตติดต่อมานานเป็นปีแล้ว อีกทั้งวันเกิดเหตุ คุณกระแตก็เป็นฝ่ายโทรตามตนตั้งแต่ช่วง 16.00-20.00 น. หลายสายมาก ซึ่งรายละเอียดอื่นๆ ตนไม่ขอพูดมากกว่านี้ เพราะต้องใช้ในชั้นศาล อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ตนจะรับฉีดสารให้ลูกค้าแล้วแน่นอน จากนั้นนายธนัช ได้เดินทางกลับ โดยแจ้งว่าจะเดินทางมาเยี่ยมน้องกระแตอีกครั้งในช่วงก่อนเที่ยงวันของวันที่ 24 ก.ย.นี้ เพื่อรอพบหน้าแม่ของน้องกระแตด้วย
ด้านนายละเมียด เขตขันฑ์ พ่อของน้องกระแต กล่าวว่า ลูกสาวเป็นกำลังหลักของครอบครัวมาตลอด ส่งเงินให้พ่อแม่ใช้เป็นประจำ แม้ตนจะไม่ค่อยรบกวนลูกก็ตาม หากเกิดเรื่องฉุกเฉิน ลูกสาวก็จะรีบส่งเงินมาให้ทันที โดยตนเจอหน้าลูกสาวครั้งสุดท้ายเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน จนกระทั่งวันเกิดเหตุก็มาเจอลูกสาวตอนไม่รู้สึกตัวแล้ว ตอนนี้ก็กำลังพยายามทำใจ เพราะเรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ตนก็อยากให้ลูกสาวฟื้นกลับมา แม้จะหายเป็นปกติ หรือกลับมาแล้วไม่เหมือนเดิมก็ขอให้กลับมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายธนัช มาขอขมาแล้ว จะให้อภัยหรือไม่ นายละเมียด กล่าวว่า จะพูดว่าให้อภัยก็ได้ หรือไม่ให้อภัยก็ได้ แต่การให้อภัยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดตามหลักศาสนาพุทธ แต่ตนอยากให้ลองคิดกลับกันบ้าง หากฝ่ายตนเป็นคนทำให้ญาติเขากลายเป็นแบบลูกสาวตนบ้าง ฝ่ายนั้นจะให้อภัยตนหรือไม่ แต่เมื่อทำผิดแล้วยอมรับผิดชอบ ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่รู้ว่าการมาขอขมาแบบนี้เป็นการทำเอาหน้าหรือเปล่า
ขณะที่ นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์เจ้าของไข้ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าได้ตรวจดูอาการของคนไข้แล้วพบว่า อาการยังทรงตัวอยู่ ไม่รู้สึกตัวเหมือนเดิม ม่านตายังขยายอยู่ไม่มีการตอบสนอง และยังหายใจเองไม่ได้ ความดันโลหิตดีขึ้น ตอนนี้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลกับเกลือแร่ได้แล้ว แต่ก็ต้องให้ยาลดอาการสมองบวม ยาบำรุงสมอง อีกหลายตัว พร้อมทั้งคอยกระตุ้นสมองอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งเฝ้ารอดูอาการเป็นระยะๆ ต่อไป แต่หากเวลาผ่านไปนานขึ้นโอกาสฟื้นก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามหากอาการยังทรงตัวต่อไป 2-3 วัน ก็จะทำการเอกซเรย์สมองอีกครั้ง อย่างไรก็ตามตามสถิติทางการแพทย์ของต่างประเทศนั้น จากการประเมินกรณีแบบนี้พบว่า หากเกิน 3 วันแล้วยังไม่ฟื้น โอกาสฟื้นกลับมาก็มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ และหากเกิน 1 สัปดาห์แล้วยังไม่ฟื้นกลับมา โอกาสฟื้นก็น่าจะอยู่ที่ 0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแพทย์ก็ได้ปรึกษากับพ่อแม่คนไข้แล้ว ถึงเรื่องการดูแลคนไข้หลังจากนี้แล้ว