ข่าว

'คอปติก'กับ 'อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิมส์'

'คอปติก'กับ 'อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิมส์'

23 ก.ย. 2555

'คอปติก'กับ 'อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิมส์' : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร

              เรื่องราวลุกลามใหญ่โตหวุดหวิดจะกลายเป็นสงครามศาสนาย่อยๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลก ยิ่งเอกอัครราชทูตอเมริกาเสียชีวิตในประเทศลิเบีย ยิ่งสร้างความโกรธแค้นระดับประเทศกันเลยทีเดียว ไม่ใช่เรื่องอะไรนอกจากพิษภัยของการลบหลู่ ดูหมิ่นในเรื่องศาสนา ที่น่าจะแฝงเร้นมากับเกมการเมืองก็เป็นได้  ภาพยนตร์อันตรายเรื่อง "อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิมส์"  กลายเป็นชนวนสงครามความคิด สงครามศาสนา ผ่านแป้นพิมพ์ระบบสัมผัส สู่อินเทอร์เน็ตจนกลายเป็นเรื่องใหญโตไปทั่วโลก  ผมเองในฐานะเป็นมุสลิมคนหนึ่งที่ได้ดูคลิปหนังเรื่องนี้แล้ว แม้จะแค่ไม่กี่นาทีก็รู้สึกเหมือนหลายๆ คนที่นับถืออิสลาม แต่ผมจะไม่พุ่งประเด็นไปที่เนื้อหาของหนังเรื่องนี้ หากจะสาวลึกถึงเรื่องราวของศาสนาของแซม เบซิล ผู้กำกับมาให้อ่านกันเพื่อจะเข้าใจมากขึ้นว่าเพราะอะไร แซม เบซิล ซึ่งเป็นนามแฝงจึงสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเพราะอดีตที่รู้สึกเจ็บปวดจนยังฝังใจจวบจนทุกวันนี้ใช่หรือไม่  จึงอยากจะทำอะไรเพื่อสังคมศาสนาเขาบ้าง

              โดยผมจะโยงประเด็นไปที่พื้นหลังของผู้กำกับผู้นี้ ซึ่งเป็น “ชาวอียิปต์ นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคอปติก” แต่ได้โยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งแต่เล็กและเติบโตที่อเมริกาจนถึงปัจจุบัน

               ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เรารู้จักกันทั่วโลก แบ่งเป็นนิกายใหญ่ๆ สามนิกาย ประกอบด้วย นิกายโรมันคาทอลิก นิกายออร์ธอด็อกซ์ และโปรเตสแตนต์ ในส่วนของประเทศอียิปต์แล้วศาสนาคริสต์ถือเป็นศาสนาแรกที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ เป็นศาสนาคริสต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ก็ต้องล่มสลายไปเพราะสงครามระหว่างศาสนา ทำให้ศาสนาคริสต์ที่มีชื่อเรียกเพียงหนึ่งเดียวแทนผู้นับถือศาสนาคริสต์ทั้งประเทศ คือคำว่า "คอปติก" (Coptic) ต้องกลายเป็นศาสนารองมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ

              "คอปติก" ในภาษาอังกฤษ ความจริงแล้วมาจากภาษาอาหรับว่า “กิ๊บตีย์” หรืออ่านตามภาษาอังกฤษว่า “Gypt” ซึ่งหมายถึงชาวอียิปต์ตามความหมายของภาษาอาหรับหลังจากชนะสงครามในปี ค.ศ. 641 ส่วนในภาษากรีกอีกสำเนียงหนึ่งว่า Egyptos ซึ่งชาวกรีกเองเอามาจากคำเขียนอียิปต์โบราณ (Hut-ka-ptah) ซึ่งเป็นชื่อหนึ่งของ “เมมฟิส” เมืองหลวงแรกของอียิปต์ ส่วนคำว่า Coptic ใช้เรียกเฉพาะเจาะจงสำหรับชาวอียิปต์ที่นับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งปัจจุบันนี้มีอยู่ราว 13 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของประชากรชาวอียิปต์ทั้งประเทศ   ส่วนใหญ่จะอยู่ในหัวเมืองห่างไกล แม้จะไม่ใช่เป็นคนส่วนใหญ่ในชุมชนนั้นๆ ก็ตาม แต่ก็ผนึกรวมกลายเป็นเลือดเนื้อเชื้อเดียวกันภายใต้คำเรียกรวมๆ ว่า “ชาวอียิปต์”

              เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ชาวคริสเตียนอียิปต์ มีจำนวนถึง 9 ล้านคน จากประชากรอียิปต์ทั้งหมด 57 ล้านคน หรือเท่ากับเกือบ 1 ใน 6 ของประชากรทั่วประเทศ ขณะเดียวกันยังมีอีกกว่าล้านคน ที่ย้ายถิ่นฐานและออกไปเผยแผ่ศาสนาทั่วโลก พร้อมกับสร้างโบสถ์และศาสนสถานไว้มากมายหลายแห่งอย่างเช่นในอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย ฮอลแลนด์ บราซิล และอีกหลายๆ ประเทศในทวีปแอฟริกา และเอเชีย

             ในส่วนของประเทศอียิปต์แล้ว การก่อสร้างโบสถ์ไม่ใช่สร้างขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นรากฐานประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ในประเทศนี้ โดยโบสถ์คอปติกในปัจจุบันได้วิวัฒนาการโดยตรงมาจากโบสถ์ในสมัยต้นๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีการต้อนรับการมาเยือนของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ในอียิปต์ มีเรื่องเล่ากันว่า Copts ในที่นี้จะมีความสัมพันธ์ในเรื่องพรของศาสนาคริสต์ที่ย้อนกลับไปในสมัยที่พระเยซูยังเป็นเด็กหนุ่ม ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์จะประกอบไปด้วยพระเยซู แมรี่ (มัรยัม) และโจเซฟ (ยูโซฟ) ได้เดินทางมายังอียิปต์และได้อาศัยและพักผ่อนอยู่ในประเทศนี้เป็นครั้งคราว

              อย่างไรก็ตาม นักบุญหรือเซนต์มาร์ค จะเป็นผู้สอนศาสนาในช่วงศตวรรษแรก โดยได้เทศน์และได้รับทุกข์ทรมานในเมืองอเล็กซานเดรีย ในช่วงที่จักรพรรดิเนโรปกครองกรุงโรม หลังจากเซนต์มาร์คเสียชีวิตในเมืองอเล็กซานเดรีย ศพก็ถูกฝังอยู่ในโบสถ์ “Beucalis” ต่อมา ในปีค.ศ. 828 ซากศพก็ถูกขโมยและนำไปวางไว้ในวิหารเวนิส

               ในปี พ.ศ. 2513 ชาวคอปติกได้สร้างโบสถ์ใหญ่ที่สุดในกรุงไคโรและถือเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาด้วย ก่อนที่การก่อสร้างโบสถ์จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ สมเด็จพระสันตะปาปาที่ 6 ของนิกายคอปติกได้กลับไปที่อียิปต์ เพื่อเยี่ยมเยียนโบสถ์และไว้อาลัยให้แก่นักบุญที่เสียชีวิตในช่วงแรกๆ ในปัจจุบันสถานที่นี้ได้กลายเป็นสถานที่พบปะประจำสัปดาห์ของชาวคริสต์คอปติก

               ชาวคริสเตียนคอปติกในอียิปต์มีส่วนรับผิดชอบสร้างผลงานสำคัญหลายๆ อย่างในโลก ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือ การเริ่มก่อสร้างอารามแห่งแรกก่อนที่ศาสนาคริสต์จะถือกำเนิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวอียิปต์หนุ่มๆ ที่อยู่อย่างสันโดษบริเวณที่มีแต่ทะเลทรายจะร่วมใจกันสร้างอาราม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเพื่อป้องกันให้พ้นอันตรายจากความรุนแรงของชาวอียิปต์ในยุคแรกช่วงที่อาณาจักรโรมันยังเรืองอำนาจ หลังจากนั้น ก็ถึงยุคการถือกำเนิดของศาสนาคริสเตียนและเผยแพร่ไปสู่ผู้คนตามบริเวณทะเลทรายก่อนจะวิวัฒนาการไปตามจินตนาการอยู่ตลอดเวลา คริสเตียนคอปติกกลุ่มแรกจึงพยายามจะแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิด จนในที่สุด อียิปต์ก็เป็นที่รู้จักกันในนามของสถานที่เกิดของราชวงศ์แรกที่นับถือศาสนาคริสต์   ผลงานที่โดดเด่นอีกชิ้นหนึ่งคือ การสร้างโรงเรียนสอนศาสนาคริสต์ในเมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งนักวิชาการคริสเตียนมีความลำบากมาก กว่าจะพ้นคำครหาในการพิสูจน์ถึงเหตุและผลของการเผยแพร่ปรัชญาและศาสนาที่เข้ากันไม่ได้ แต่ต้องพยายามปรับเข้าหาซึ่งกันและกัน โรงเรียนสอนศาสนาที่อเล็กซานเดรียถือเป็นโรงเรียนสอนศาสนาแห่งแรกๆ ของโลก นักวิชาการคนแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนนี้คือ Pantaenus ซึ่งทำหน้าที่ประมาณ 20 ปี ในช่วงระหว่างค.ศ. 180 ถึง 200

               คริสตศาสนิกชนคอปติกในสมัยก่อน ได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้โลกได้จารึกในเรื่องของศาสนา แต่ภายหลังจากการเผยแผ่ศาสนาอิสลามโดยมุสลิมอาหรับประมาณกลางศตวรรษที่เจ็ด ศาสนาคริสต์ได้รับผลกระทบอย่างมากและได้ลดจำนวนลงตามลำดับ อย่างไรก็ตามในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ศาสนาคริสต์ได้เริ่มมีการฟื้นฟูอีกครั้ง โดยมีการเคลื่อนไหวในโรงเรียนคอปติกในไคโร กีซ่า และ อัซยูท “Asyut” ด้วยแรงบันดาลใจจากความท้าทายที่ศาสนาคริสต์มีประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับในชั้นเรียน โดยชายหนุ่มได้ถวายชีวิตอุทิศให้แก่พระเจ้าและเข้าร่วมรำลึกถึงบิดาทะเลทราย

              ปัจจุบัน ผู้นำโบสถ์เติบโตจากการฟื้นตัวและมีชีวิตชีวามากขึ้น ศาสนาคริสต์คอปติกยังคงมีกลุ่มวัยรุ่นที่เน้นการศึกษาทางธรรมควบคู่ไปกับการเรียนรู้ในเรื่องของสังคม ถึงแม้ว่าโรงเรียนนี้จะมีชื่อว่าโรงเรียนวันอาทิตย์ แต่ผู้คนได้ไปชุมนุมกันที่โบสถ์ทุกๆ วันศุกร์ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญทางศาสนาที่ครอบครัวคอป

              ติกพึงปฏิบัติ เด็กๆ มักจะเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่ยังเล็กและดำเนินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ พวกเด็กๆ จะร่วมทำกิจกรรมที่หลากหลายทั้งในระดับจิตวิญญาณและทางด้านสังคม ตลอดจนการดำเนินชีวิตของพวกเขา

              คริสเตียนคอปติกจะแตกต่างไปจากคริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิก คริสเตียนคอปติกจะเฉลิมฉลองในวันคริสต์มาสและถือโอกาสเป็นวันหยุดราชการในอียิปต์ ถือเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีของประเทศชาติ วันที่นี้จะตรงกับวันที่ 29 ของเดือนคอปติก “kahk” การกำเนิดของสมเด็จพระสันตะปาปาในโบสถ์ของเซนต์มาร์คในไคโร ถือเป็นการประสูติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนภาษาคอปติกในปัจจุบันเริ่มจะสูญหาย มักจะใช้เฉพาะในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น

              หลังจากพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จสิ้นลง ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน คริสเตียนคอปติกจะทำขนมปังหวานพิเศษในวันคริสต์มาส เช่นเดียวกับชาวมุสลิมที่ให้ความสำคัญในวันอี๊ด ประเพณีที่หาได้ยากนี้ ยังคงพบอยู่ในโบสถ์คอปติกอียิปต์ ขนมปังศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อว่า “Qurban” จะตกแต่งด้วยไม้กางเขนอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยสิบสองจุด อันเป็นสัญลักษณ์แทนสิบสองอัครสาวกของพระเยซู ขนมปังนี้มีไว้สำหรับมอบให้คนที่มาเยี่ยมเยียนซึ่งตามธรรมเนียมแล้วจะปฏิเสธไม่รับไม่ได้

              นอกจากนี้ คริสเตียนคอปติกจะมีเหตุผลของการอดอาหารมากกว่าคริสเตียนอื่นๆ ในแต่ละปี คริสเตียนคอปติกจะถือศีลอดมากกว่า 210 วัน ในช่วงอดอาหาร จะไม่กินอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ (เนื้อ ไก่ ปลา นม ไข่ เนย) สำหรับคนที่เคร่งครัด จะไม่ดื่มหรือกินอาหารเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นและตก จะกินได้ก็ต่อเมื่อพิธีรับอาหารของพระผู้เป็นเจ้า

              แมรี่แอน อันซอฟ เลขาฯ บริษัททัวร์เฟิร์สคลาส ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ในการนำนักท่องเที่ยวอาหรับสู่ประเทศไทย ยอมเปิดใจให้ความเห็นว่าตัวเองนับถือศาสนาคริสต์มาตั้งแต่เกิดตามพ่อและแม่ ตั้งแต่เล็กก็รับรู้เรื่องความแตกต่างระหว่างคริสต์กับมุสลิม แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติเพราะต่างก็เป็นคนอียิปต์ด้วยกัน จึงไม่เห็นด้วยกับการนำเรื่องความเชื่อของศาสนานั้นๆ มาล้อเล่นเหมือนในภาพยนตร์เรื่อง “อินโนเซนส์ ออฟ มุส

             "ลิมส์" และก็ไม่เห็นด้วยเช่นกันที่ต้องใช้ความรุนแรงถึงขั้นชีวิตเนื่องด้วยความโกรธ

             โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าน่าจะมีเบื้องหลังที่ต้องการให้ศาสนิกชนทั้งที่นับถือศาสนาคริสต์และมุสลิมเกิดการแตกแยกกันหรือเลยเถิดถึงขั้นทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วโลกยิ่งดีใหญ่ แต่ในใจลึกๆ แล้วอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และก็ไม่อยากให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่างในเรื่องของการล้อเลียนศาสนาในแบบที่ไม่ดีอย่างนี้

..........................................
( 'คอปติก'กับ 'อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิมส์' : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร)