
9ปีไฟใต้ฝันร้ายเศรษฐกิจชายแดน
9 ปี ไฟใต้ ฝันร้ายเศรษฐกิจชายแดน : รายงานพิเศษ : โดย...สุพิชฌาย์ รัตนะ
นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายทหารในเดือนมกราคม 2547 ต่อเนื่องมาถึงขณะนี้ นั่นคือภาพของปัญหาความไม่สงบ ที่มีผลทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และบางส่วนของ จ.สงขลา โดยความรุนแรงที่สำคัญก็คือ การโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายที่เน้นไปยังศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ซึ่งมิติของความรุนแรงที่เกิดขึ้น นอกจากจะก่อบาดแผลทางธุรกิจอย่างเจ็บปวดสำหรับผู้ประกอบการแล้ว สิ่งที่ตามมาอีกเป็นเรื่องการฟื้นตัวของกิจการที่เป็นไปอย่างยากลำบาก
จากข้อมูลแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พบว่า ในช่วงปี 2547-2552 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส อยู่ในภาวะทรุดต่ำลง โดยมีการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ต่อปี เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าอัตราการขยายตัวในช่วงก่อนเหตุการณ์ความไม่สงบ ในปี 2545-2546 ที่มีระดับเฉลี่ยกว่าร้อยละ 6.0 ต่อปี
ขณะที่ปัจจุบันอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขยายตัวในระดับคงที่ ตั้งแต่ปี 2553 คือ ร้อยละ 2.1 ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังพบว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2547-2552 มีจำนวนน้อยมากเฉลี่ยปีละ 1-2 โครงการ และเป็นโครงการที่มีขนาดเงินลงทุนไม่เกิน 200 ล้านบาท แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการ มาตรการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในทุกรูปแบบ แต่ที่สุดแล้วก็ยังไม่สามารถจูงใจได้เท่าที่ควร
ข้อมูลจากศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 5 (สงขลา) อ้างอิงว่า พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการลงทุนที่ต่ำมาก โดยสถิติการลงทุนตั้งแต่ปี 2552-2555 ในพื้นที่ภาคใต้ มีโครงการที่ได้รับอนุมัติ 112 โครงการ เงินลงทุน 27,953.10 ล้านบาท การจ้างงานคนไทย 22,651 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีการลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัดเพียงแค่ 11 โครงการ เงินทุนจำนวน 1,388 ล้านบาทเท่านั้น แยกเป็น ยะลา 9 โครงการ ในจำนวนนี้มี 2 โครงการที่เพิ่งลงทุนใหม่ในปี 2555 เงินลงทุน 960 ล้านบาท การจ้างงานคนไทย 96 คน ได้แก่ การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล
ส่วนอีก 2 โครงการอยู่ในพื้นที่ปัตตานี ซึ่งเป็นการลงทุนตั้งแต่ปี 2553 และ 2554 ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555นี้ ยังไม่มีโครงการใหม่เข้ามา เช่นเดียวกับนราธิวาส ในรอบ 4 ปี ไม่มีการลงทุนเข้ามาแต่อย่างใด แม้ในบางช่วงเวลาจะมีกระแสการเข้ามาของโครงการลงทุนใหม่ๆ บ้างเป็นระยะ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สามารถดำเนินการได้
"ผลกระทบจากปัญหาความไม่สงบมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะทุนจากนอกพื้นที่แทบไม่มีเข้ามาเลย นับตั้งแต่ปี 2547 ส่งผลให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมีปัญหา จากในช่วงปี 2545-2546 ในพื้นที่มีการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6.0 ต่อปี จากนั้นปี 2547- 2552 อัตราการขยายตัวลดลงอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี กระทั่งปี 2553 เริ่มขยับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี จนถึงปัจจุบันนี้อัตราการเติบโตยังคงที่ ชูชาติ เถาธรรมพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 5 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ให้ข้อมูล
พฤทธิพงศ์ ศรีมาจันทร์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานภาคใต้ ให้ทัศนะว่าภาพรวมเศรษฐกิจการลงทุนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ยังอยู่ในสภาวะซบเซาแบบคงที่ เนื่องจากเศรษฐกิจในพื้นที่จะขยับได้หรือไม่นั้น ผลกระทบจากเหตุความไม่สงบชายแดนภาคใต้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญ ซึ่งหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่ โอกาสที่จะเกิดการขยายตัวย่อมเป็นไปได้ยาก
นี่เป็นบทสรุปด้านหนึ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 9 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
--------------------
"ไม่เคยคิดทิ้งธุรกิจเพราะไฟใต้"
นับแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2547 มีผู้ประกอบการหลายราย ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงสร้างความบอบช้ำทางธุรกิจ ในจำนวนนี้รวมไปถึงเครือข่ายธุรกิจของตระกูล "สุวรรณมงคล" ที่มีรากฐานธุรกิจในพื้นที่ชายแดนภาคใต้มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม “ซี.เอส.ปัตตานี” และบาดแผลล่าสุดที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายนี้ก็คือ การวางเพลิงศูนย์รถยนต์ฮอนด้า บริษัท ปัตตานีฮอนด้าคาร์ส์ จำกัด อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายกว่า 15 ล้านบาท
หากย้อนหลังไปในอดีตน่าสนใจว่า ความเสียหายข้างต้นไม่ใช่ความบอบช้ำครั้งแรก เพราะในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนร้ายวางเพลิงเผาป้อมยามโชว์รูมรถยนต์ บริษัท ปัตตานีฮอนด้าคาร์ส จำกัด ต.ตุยง อ.หนองจิก มาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นเกิดเหตุการณ์คาร์บอมบ์ ในวันที่ 15 มีนาคม 2551 ที่โรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี และวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คนร้ายก่อเหตุคาร์บอมบ์หลังโรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี อีกครั้ง และวางเพลิงบริษัทปัตตานีฮอนด้าคาร์ส ในเดือนสิงหาคม
"ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของผมนั้น ยอมรับว่าในแง่ของมูลค่าความเสียหายมีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เจ็บหนักยิ่งกว่านั่นคือความรู้สึก รวมถึงขวัญกำลังใจของคนทำงาน ที่มีค่ามากกว่า และถดถอยลง" อนุศาสน์ สุวรรณมงคล ผู้บริหาร บริษัท ปัตตานีฮอนด้าคาร์ส จำกัด และเจ้าของโรงแรม ซี.เอส.ปัตตานี กล่าวและว่า แม้จะบอบช้ำแต่ไม่คิดจะทิ้งธุรกิจ เพราะปัตตานีคือบ้านและพร้อมจะสู้ต่อ
"สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกคนในพื้นที่หวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการดูแลความปลอดภัยทุกชีวิต ทุกศาสนา ไม่ใช่แค่เพียงดูแลภาคธุรกิจเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การสร้างความเชื่อมั่นถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ เพราะหากผู้ประกอบการยังตกเป็นเป้า ก็จะยิ่งฉุดความเชื่อมั่นหดตัวลง" อนุศาสน์ กล่าว
เป็นภาพสะท้อนของผู้ประกอบการที่มีต่อภัยคุกคามจากความไม่สงบ
--------------------
(9 ปี ไฟใต้ ฝันร้ายเศรษฐกิจชายแดน : รายงานพิเศษ : โดย...สุพิชฌาย์ รัตนะ)