
'โกหก'...
'โกหก'...:กระจกเงา โดยอัศศิริ ธรรมโชติ [email protected]
นิทานศรีธนญชัยเรื่องหนึ่งเล่าว่า ขณะที่ศรีธนญชัยเดินเล่นไปตามถนน สวนทางกับเด็กกลุ่มหนึ่ง กลุ่มเด็กบอกว่า ศรีธนญชัยได้ข่าวว่าโกหกเก่งไม่ใช่รึ ช่วยเล่าเรื่องโกหกให้ฟังสักเรื่องสิ
ศรีธนญชัยทำหน้าตื่นว่ามีคนตีกันตายอยู่ที่หัวถนนโน่น ฉันจะรีบไปดูเรื่องโกหกเอาไว้ค่อยฟังวันหลัง แล้วรีบสาวเท้าเดินโดยมีกลุ่มเด็กวิ่งตามไปด้วยความตื่นเต้น ครั้นถึงหัวมุนถนน กลับไม่มีอะไรทุกอย่างเป็นปกติ
“ไหนล่ะ คนตีกันตาย ศรีธนญชัย” กลุ่มเด็กถาม
“อ้าว ก็นี่ไงเรื่องโกหก อยากฟังไม่ใช่รึ” ศรีธนญชัยว่า
ศรีธนญชัย นับได้ว่าเป็นยอดโกหกตัวจริง ที่ทั้งเนียนและสนิท นิทานศรีธนญชัยเป็นเรื่องของการใช้ปัญญาแบบขำขันและฉลาดแกมโกงที่คนไทยคุ้นกันดี การโกหกของศรีธนญชัยที่ยกตัวอย่างมานี้จะว่าเป็นการ “โกหกสีขาว” ก็ได้ เพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
น่าจะต่างกับการโกหกของท่านรัฐมนตรีเมื่อไม่นานมานี้ เพราะเป็นเรื่องส่วนรวม เรื่องของชาติบ้านเมืองอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ต้องขาดความเชื่อถือ
ในชีวิตคนเราบางครั้งก็โกหกโดยไม่ตั้งใจนัก เช่นว่า กำลังปวดหัวมีคนถามว่าสบายดีหรือเปล่า ก็บอกว่าสบายดีไม่มีอะไร อย่างนี้น่าจะสีขาว แต่ถ้าเมาแล้วขับเกิดตำรวจจับได้ว่าผมเปล่า อย่างนี้ไม่ใช่แน่ เพราะอาจเดือดร้อนเป็นภัยทั้งผู้อื่นและตัวเอง
นิทานสุภาษิตเช่นเด็กเลี้ยงแกะที่รู้จักกันดีนั้น มีไว้สอนว่า พูดโกหกเรื่อยไปจะไม่มีใครเชื่อถือ เมื่อภัยมาถึงตัวแล้วที่สุดจะลำบาก
พุทธศาสนาจึงได้วางเรื่องการโกหกหรือว่ามุสาวาทไว้เป็นข้อห้ามในศีล 5 ข้อที่ควรเว้น และไม่พึงปฏิบัติ เพราะเป็นสิ่งไม่ดี เป็นบาป เป็นทุจริตที่ไม่ควรประพฤติ ด้วยจะทั้งบั่นทอนความดีที่มีอยู่ในตัวเรา และต่อไปอาจมีเวรภัยติดตัว
มุสาวาทา เวรมณี คือศีลข้อที่ 4 ที่พระท่านแปลว่า งดเว้นจากการพูดเท็จ อันเป็น 1 ใน 5 ข้อ ที่เว้นจากการฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามและดื่มสุราเมรัย มีพุทธวจนะกล่าวไว้ด้วยดังมีผู้แปลไว้เป็นความดังนี้ว่า
“คนที่ล่วงศีลข้อที่สี่
มักพูดเท็จ ไม่คำนึงถึงปรโลก
จะไม่ทำความชั่ว ไม่มี”
ในหนังสือ “คำวัด” ของพระธรรมกิตติวงศ์ ท่านได้อธิบายคำว่ามุสาวาทหรือว่าการพูดปดมดเท็จ ซึ่งผมก็จะลอกมาให้ได้อ่านกันเลยมีความว่าดังนี้
“มุสาวาท แปลว่า การพูดเท็จ หมายถึงการพูดโกหก พูดหลอกลวงให้หลงเชื่อ รวมทั้งการพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำเพ้อเจ้อไร้สาระ ด้วยเป็นศีลข้อที่ 4 ในศีล 5
มุสาวาทประกอบด้วยองค์ 5 ซึ่งผู้พูดกระทำครบทุกข้อจึงเป็นอันล่วงละเมิดศีลข้อนี้คือ
1 เรื่องที่พูดเป็นเรื่องไม่จริง
2 มีจิตคิดพูดให้ผิดไปจากความเป็นจริง
3 พยายามพูดเรื่องนั้น
4 ผู้ถูกโกหกเข้าใจเรื่องตามที่พูดนั้น
มุสาวาทมีโทษแก่ผู้พูด คือเป็นการแสดงถึงการเป็นคนไร้สัจจะ ไม่รับผิดชอบคำพูด เป็นเหตุให้มัวหมอง เป็นเหตุก่อเวรภัย มีโทษถึงตกนรกและส่งผลทำให้เกิดเป็นใบ้ หาคนที่จริงใจด้วยได้ยากในทุกภพทุกชาติ"...
“โกหกสีขาว” ของท่านรัฐมนตรีจะเข้าข่ายนี้หรือไม่ ท่านคงจะรู้ตัวดีครับ
ในพระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้กับภิกษุทั้งหลายว่า คนพูดมากกับคนพูดด้วยปัญญานั้นจะได้รับผลต่างกัน คนพูดด้วยปัญญาไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ตรงข้ามกับบุคคลผู้พูดมาก คือพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบและพูดเพ้อเจ้อ สิ้นชีวิตแล้วย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ในปิยวาจา เครื่องยึดเหนี่ยวใจให้คนรักนั้น นอกจากว่าจะพูดดีมีเหตุผล มีความถูกต้องแล้ว ก็จะต้องมีคำสัตย์ คือคำที่มีจริง เป็นจริง ว่าวาจาสุภาษิตเปรียบดั่งดอกไม้ที่พร้อมทั้งด้วยสีสวยและมีกลิ่นหอม
ป่านนี้ ท่านรัฐมนตรีที่ว่าจำเป็นต้อง “โกหกสีขาว” คงจะรู้ซึ้งดีแล้วละครับ



