
หนุ่มออสเตรแต่งงานสาวขอนแก่น
หนุ่มออสเตรเลียตะลึง สาวขอนแก่นถาม 'แต่งงานกันไหม' : คอลัมน์เขยฝรั่ง สะใภ้อินเตอร์ : โดย...เสาวลักษ์ คงภัคพูน // กวินทรา ใจซื่อ
"วันที่เราเห็นเขาเดินคู่มากับเพื่อนอาจารย์โรงเรียนเดียวกันที่ทั้งสาวและสวยกว่าเรามาก วันนั้นเป็นวันที่รู้สึกหึง ไม่ชอบใจที่เขาเดินกับคนอื่น เลยรู้ตัวเองแล้วว่า เราตกหลุมรักหนุ่มตาน้ำข้าวคนนี้ไปหมดใจแล้ว ผ่านไปไม่นานจึงตัดสินใจถามเขาว่าคุณจะแต่งงานกับฉันไหม"
"วีรวรรณ (ตุ้ย) เสนฤทธิ์ พาร์ทิงทัน" วัย 57 ปี เจ้าหน้าที่ศูนย์คลังเลือดกลางในโรงพยาบาล ย้อนวันวานเรื่องราวความรักกับชายหนุ่มชาวออสเตรเลีย นายสตีเฟน จอห์น พาร์ทิงทัน อายุ 62 ปี ครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนสนามบิน จ.ขอนแก่น พรหมลิขิตนำพาให้ทั้งคู่มาพบกันเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา เริ่มมิตรภาพที่มอบให้กันอย่างเพื่อนจนกลายมาเป็นความผูกพัน และความรัก
เดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกประมาณปี 2547 ช่วงนั้นทำงานเป็นผู้สื่อข่าวที่ประเทศออสเตรเลีย ในระยะเวลา 10 เดือน ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปทำงานที่ประเทศแคนาดา เช็ก สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ประเทศไทยเป็นประเทศสุดท้ายที่มาพักผ่อน เพราะมีเพื่อนที่รู้จักกันผ่านทางอีเมลหลายคน
"มีเพื่อนคนหนึ่งรู้ว่าผมจะเดินทางมาประเทศไทย เขาขอร้องให้เดินทางมาเยี่ยมพ่อเขาที่ขอนแก่น ผมจึงติดต่อพ่อเพื่อน แล้วนั่งรถโดยสารเดินทางมาที่ขอนแก่น 2 อาทิตย์ อาทิตย์แรกได้เดินทางท่องเที่ยว ระหว่างนี้วันอาทิตย์ผมจะไปโบสถ์ จนได้รู้จักกับคุณตุ้ยที่โบสถ์ และในช่วงอาทิตย์ที่ 3 คุณพ่อขอให้คุณตุ้ยดูแลก่อนเดินทางกลับออสเตรเลีย"
คุณสตีเฟนมาเป็นแขกของคุณพ่อศิษยาภิบาล ที่คริสตจักษ์ประทีป พอเข้าอาทิตย์ที่ 3 ก็มาเทศนาที่โบสถ์ เรามีหน้าที่เป็นล่ามให้ ระหว่างนี้คุณพ่อก็ให้ช่วยดูแลก่อนที่จะเดินทางกลับ พาเขาไปเดินเล่นที่ริมบึงแก่นนคร ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น พารับประทานอาหารบ้าง ช่วงนั้นเป็นแค่เพื่อนกัน เขาก็ถามนะว่าอายุตั้ง 48 แล้ว ทำไมเราไม่แต่งงาน ก็บอกเขาว่า ชอบการทำงานและอยู่ตัวคนเดียวดีกว่า"
จนชายหนุ่มเดินทางกลับประเทศออสเตรเลีย แต่ทั้งคู่ก็แลกเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่กันไว้ ตลอด 5 ปี จึงติดต่อหากันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งส่งข้อความทางโทรศัพท์ ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันฉันเพื่อน จนเมื่อ 3 ปีที่แล้ว สตีเฟนบอกว่า ตัดสินใจเดินทางมาเมืองไทย พร้อมกับเริ่มต้นการทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษด้วย
"ก่อนที่จะมาเมืองไทย ผมเดินทางไปทำงานสอนหนังสือที่ประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อไปทำงานปรากฏว่า บริษัทที่ติดต่อมานั้นเป็นบริษัทที่หลอกลวง ไม่ได้ดำเนินการตามข้อตกลงที่ให้ไว้ แต่ยังต้องการทำงานเก็บเงินสักก้อนก่อนจะเดินทางกลับบ้าน ผมนึกถึงเมืองไทย จึงตัดสินใจเดินทางมาที่นี่"
ตลอด 5 ปี ก็มีโทรศัพท์คุยกันบ้าง ส่วนใหญ่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโบสถ์ ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน จนเมื่อเขาโทรศัพท์มาบอกว่าจะทำงานที่เมืองไทย ก็ช่วยดูแลเป็นธุระเรื่องงาน เรื่องที่พักให้ เจอกันที่โบสถ์บ้าง จนมีอยู่วันหนึ่งเขาไม่สบายมาก ก็ไปดูแล จนอาการทุเลา ก็ตัดสินใจให้เขาเช่าบ้านที่เราอยู่ ส่วนเราก็ย้ายไปอยู่กับพี่สาว
"คุณตุ้ยดูแลเป็นอย่างดี รู้สึกขอบคุณเขามาก เมื่อย้ายมาอยู่บ้านเขาก็สบายขึ้น เพราะเงียบ สงบ ผมยังไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับใคร เห็นทุกคนเป็นเพื่อน จนวันหนึ่งเห็นคุณตุ้ยเขาออกอาการแปลกๆ เขามาบอกว่า ถ้าผมกำลังคบหากับใคร เขาก็ขอบ้านคืนให้ย้ายออกไป ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะคิดว่า เขาอาจจะอยากย้ายกลับมาอยู่บ้าน"
ความรู้สึกผูกพัน ความสนิทสนม การไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับอัธยาศัย นิสัยใจคอ ที่เป็นสภาพบุรุษเอาใจใส่ดูแลคนอื่น ทำให้ตุ้ยชื่นชอบ ประกอบกับความสนิทสนมของฝ่ายชาย ที่มักจะชักชวนไปกินข้าว ดูหนัง ออกกำลังกายด้วยกัน หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคู่รักกัน ทำให้ฝ่ายหญิงเกรงว่าจะเสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่อฝ่ายชายไม่ยอมเอ่ยปาก เธอจึงตัดสินใจขอแต่งงานเสียเอง
"ไม่อยากรอให้ฝ่ายชายขอก่อนเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะตัดสินใจ หากไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไรจะได้ตัดสินใจเลิกคบหากัน เราจะได้ไม่เสียชื่อเสียง ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดด้วย"
คุณตุ้ยคิดว่า ผมเป็นคนเจ้าชู้ มีผู้หญิงที่คบหาหลายคน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ช่วงแรกที่มาสอนหนังสืออยู่ที่ขอนแก่นเป็นงานที่หนักมาก สังคมก็ต่างจากบ้านเกิดของผม หลายคนที่รู้จักก็คิดกับเขาแค่เป็นเพื่อนเท่านั้นไม่คิดเกินเลย เพราะตอนนั้นผมไม่เคยคิดที่จะรักใคร หรือแต่งงานใหม่ ต้องการใช้ชีวิตคนเดียว
จากความอัดอั้นตันใจ และต้องการคำตอบที่ชัดเจน ทำให้ตุ้ยตัดสินใจมาหาชายหนุ่มที่บ้านอีกครั้ง พร้อมกับถามฝ่ายชายว่า จะแต่งงานกันไหม
"คิดว่าเป็นโค้งสุดท้ายแล้ว ขอฝ่ายชายก่อนก็ไม่เป็นอะไร บอกเขาว่า ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะพูดเรื่องแต่งงาน หากยังไม่ตัดสินใจก็ขอให้เราเลิกคบหากัน และย้ายออกไปหาที่อยู่ใหม่เอาเอง เพราะที่ผ่านมาหลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นคู่รักกัน หากไม่ทำอะไรให้ชัดเจน เราจะเสียหายไปเรื่อย"
ด้านฝ่ายชายบอกว่า ตกใจที่เขาถามว่า "จะแต่งงานกับเขาไหม..." ไม่ได้ตอบทันที เพราะยังไม่คิดว่าจะปักหลักอยู่ที่ขอนแก่นตลอด
ความผูกพัน มีความรักกับใครสักคนเป็นเรื่องที่เราต้องคิดมาก แต่เป็นเรื่องที่คิดมาตลอด จนกระทั่งวันเกิดของคุณตุ้ย เราไปรับประทานอาหารด้วยกัน เขาถามเป็นครั้งที่ 2 ผมจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขา เพราะรู้สึกสงสารเขาที่รับใช้พระเจ้ามาตลอด ตอนนั้นถามว่า รู้สึกรักหรือยังก็บอกไม่ได้ แต่รู้สึกผูกพัน รู้สึกเป็นห่วงและต้องการดูแลเขาให้มากขึ้น จะไปไหน ทำอะไร จะโทรศัพท์หาตลอด อยากแบ่งเบาภาระ อยู่ดูแลกัน หลังจากตอบตกลงว่าจะแต่งงานก็โทรศัพท์บอกแม่และลูกสาว"
ระยะเวลากว่า 2 ปีที่แต่งงาน ทั้งคู่ต้องปรับตัวกันทำความเข้าใจทั้งเรื่องวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ รวมถึงการทำงาน และการดูแลครอบครัว
"ที่ผ่านมาเราต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวมาตลอด ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมเราต้องดูแลครอบครัวมากขนาดนี้ ก็ต้องอธิบายกัน ยังมีเรื่องงานที่ต้องออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านก็ไม่เป็นเวลา เขาจะบอกว่า ต้องกลับบ้านกี่โมงเพราะไม่อยากให้เราต้องทำงานหนักจนกระทบถึงสุขภาพ สิ่งที่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด คือพาไปรู้ชีวิตการทำงานของเรา บางครั้งพาไปออกหน่วยที่ต่างจังหวัดด้วย ทำให้เขารู้และเข้าใจเรามากขึ้น"
ภรรยาผมไม่ใช่คนสวย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาเป็นคนที่จิตใจดี นึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ทุกครั้งที่เห็นเขาออกหน่วยจะเป็นห่วงเพราะต้องทำงานหนักและยิ่งเห็นว่าเขาเป็นผู้หญิงเก่งและแกร่ง มีความเป็นผู้นำสูงซึ่งจะต่างจากผู้หญิงทั่วไป ตรงนี้เป็นเสน่ห์ของเขา
วันนี้สิ่งที่ทั้งคู่มีให้กันมากกว่าความรัก คือความห่วงใย มีเพื่อนคู่คิด ต่างฝ่ายได้ดูแลกันและกัน เป็นชีวิตที่มีความสุขที่มาจากการตัดสินใจถาม "คุณจะแต่งงานกับฉันไหม"
..........................................
(หนุ่มออสเตรเลียตะลึง สาวขอนแก่นถาม 'แต่งงานกันไหม' : คอลัมน์เขยฝรั่ง สะใภ้อินเตอร์ : โดย...เสาวลักษ์ คงภัคพูน // กวินทรา ใจซื่อ)