ข่าว

จากไซนาย สู่ 'ญาบัล มูซา' (2)

จากไซนาย สู่ 'ญาบัล มูซา' (2)

09 ก.ย. 2555

จากไซนาย สู่ 'ญาบัล มูซา' ดินแดนที่โมเสสรับบัญญัติสิบประการ (2) : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร

                  เพราะจะต้องเดินทางไปยังเมือง "เซนต์ แคทเธอรีน (Saint Catherine) แต่เช้า เพื่อมุ่งสู่ภูเขาฎูรซีนาย ภูเขาแห่งศาสดามูซาหรือโมเสส อันเลื่องลือไปทั่วโลก ก่อนนอนคืนนั้น จึงต้องจัดกระเป๋าพร้อมเช็กเอาท์จากที่พักในวันรุ่งขึ้น รวมทั้งต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับขึ้นสู่ภูเขาอีกด้วย นั่นคือ ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย เสื้อกันหนาวหลายๆ ชั้น หมวกกันหนาวหรือผ้าคลุม ถุงนอน รองเท้าที่สวมสบายและเลือกที่มีกันลื่น เพราะเมื่อขึ้นสู่ยอดภูเขาจะเป็นก้อนหินลื่นๆ ตอนลงจากภูเขาก็ลื่นเพราะมีน้ำค้างหรือบางทีหยดน้ำแข็งที่ละลายในช่วงหน้าหนาว ดังนั้นรองเท้าต้องกระชับไม่หลวม เตรียมน้ำขวดเล็กๆ และขนมขบเคี้ยวเพราะระหว่างทางขึ้นภูเขาจะมีร้านขายของแต่ราคาสูงเท่ากับความสูงเลยจริงๆ ชาธรรมดาแก้วละ 10 ปอนด์ จากข้างล่างแค่ 2 ปอนด์ อย่างว่าละถ้าไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องกิน อ๋อ...อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือลิปมันสำหรับทาปากเพราะริมฝีปากจะแห้งบางทีแพ้ลมถึงขนาดปากบวมน่าเกลียดน่ากลัวเป็นที่สุด

                 การเดินทางสู่ดินแดนประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 08.30 น. สถานที่แรกหลังจากผ่านด่านชี้ทางไปยังไซนายคือหลุมศพท่านศาสดาฮารูนซึ่งเป็นพี่ชายของศาสนามูซา พร้อมๆ กับหลุมศพอีกหลายท่านในบริเวณนั้น ระหว่างทางจะเห็นบ่อน้ำถูกจัดแต่งไว้เรียบร้อยเป็นบ่อน้ำเมื่อครั้งอดีตที่ท่านศาสดาได้ช่วยให้หญิงสาวนางหนึ่งสามารถตักน้ำให้แพะและกลายเป็นคู่ชีวิตในเวลาต่อมา

                 ไม่ไกลจากบ่อน้ำมากนักจะเห็นรูปวัว ซึ่งอยู่บนภูเขาอย่างชัดเจน ที่ตรงนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่ทุกคนไม่มีวันลืมเพราะหลังจากที่ศาสดามูซาหรือโมเสสได้ขึ้นไปรับบัญญัติ 10 ประการ หรือรับโองการจากพระเจ้า พระองค์ได้ฝากให้พี่ชายดูแลผู้ที่ติดตามท่านมา แต่ในขณะที่ศาสดามูซาเดินทางไปยังภูเขาฎูรซีนายนั้น พวกสาวกของท่านก็ได้ช่วยกันระดมทองคำที่มีอยู่หลอมให้เป็นรูปวัวแล้วทำการบูชา ทำให้ท่านศาสดามูซาโกรธมาก หลังจากที่ลงมาจากภูเขา สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ทุกคนต้องจาริก

                เดินทางมาได้ค่อนวันก็ได้เวลาอาหารเที่ยง ณ ภูเขารูปวัวแห่งนี้ หลังจากนั้นก็มุ่งสู่ตาน้ำทั้งสิบสองตา ซึ่งได้จารึกไว้ในคัมภีรอัลกุรอ่านในขณะที่ไม่มีน้ำดื่มหลังจากที่ท่านศาสดามูซาได้นำพวกสาวกหนีจากการกดขี่ทารุณอันแสนโหดร้ายของฟาโรห์ พระเจ้าก็สั่งให้ศาสดามูซาใช้ไม้เท้าตีที่ก้อนหิน ทำให้น้ำไหลออกจากก้อนหินถึงสิบสองรู กว่าจะเข้าไปเจอหลักฐานชิ้นนี้ได้ ต้องใช้เวลาเดินไปอีกไกลเข้าไปที่ช่องเขาใหญ่

               หลังจากนั้นก็กลับมานั่งรอเวลากินข้าวตอนกลางคืนและเตรียมพร้อมที่จะนั่งรถไปยัง "เมืองเซนต์แคทเธอรีน" อันเป็นเมืองที่รายล้อมด้วยหุบเขาขนาดเล็กหลายชั้น ทำให้สภาพภูมิอากาศของเมืองเย็นสบาย และยังทำให้เมืองเซนต์แคทเธอรีนเป็นหนึ่งในเมืองที่หนาวที่สุดในอียิปต์อีกด้วย บางปีหิมะตกหนัก หากใครมีโอกาสได้เห็นภาพถ่ายตอนหิมะตก คงนึกว่าเป็นแถบยุโรปด้วยซ้ำ แสดงว่าที่นี่หนาวสมชื่อจริงๆ

               เมื่อได้เวลา ทุกคนต่างเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนาๆ จนจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร กลายเป็นคนอ้วนทุกคนในบัดดล รถมาส่งถึงตีนเขาซึ่งขณะนั้นมีแค่แสงไฟหน้าด่านเท่านั้นนอกนั้นมืดสนิท ยามเริ่มปล่อยให้พวกเราเดินผ่านด่านเมื่อเวลาเที่ยงคืนพอดี การเดินทางช่างสนุกสนาน คละเคล้าไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเพราะความสูง 7,500 ฟุต หรือ 2,270 เมตร ถึงแม้จะขี่อูฐขึ้นไปแต่ก็ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น เพราะอูฐขึ้นไปถึงยอดไม่ได้

               ที่สำคัญแม้พวกเราจะมีไฟฉายส่องทาง แต่คนจูงอูฐกลับไม่ยอมใช้ไฟฉายแต่อย่างใด เนื่องจากกลัวจะเข้าตาอูฐ จนอาจมองทางไม่เห็น จึงต้องใช้แสงจันทร์เป็นเครื่องนำทาง

               โชคดีที่ไม่หลงทาง เนื่องจากตลอดทางมีการวางก้อนหินเป็นทางเดินยาวจนถึงยอดภูเขาเลยทีเดียว กว่าจะเดินได้ครึ่งทางต้องหยุดไม่รู้กี่สิบครั้งและทุกครั้งที่ปวดหนักปวดเบาก็ต้องอาศัยก้อนหินปิดบังความอายเอาไว้ กลายเป็นห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกไปเลยงานนี้ หลายคนต้องกระโดดเหย็งๆ เมื่อมีแสงไฟจากไฟฉายส่องไปหา เรียกเสียงฮากันไปตลอดทาง

                กว่าจะถึงยอดเขาใช้เวลาอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง ยิ่งใกล้จะถึงยอดภูเขา การเดินทางก็ยิ่งสุดแสนทรมานทั้งหอบทั้งเหนื่อยทั้งร้อนทั้งคัน บางคนถึงกับคลานกันเลยทีเดียว แต่เมื่อถึงจุดสุดยอดของภูเขาแล้วทุกคนต้องร้องฮือ เพราะลมพัดเย็นเกินจะพูด บนยอดเขามีเพียงโบสถ์หลังเล็กๆ โล่งแจ้งไม่ค่อยกว้างสักเท่าไหร่ แต่เมื่อขึ้นมาถึงก่อนเวลาจะยืนหนาวอยู่ทำไม ต่างคนต่างต้องรีบหาที่นอนกันหัวซุกหัวซุน บางคนนั่งริมรั้วบนยอดเขา บางคนใช้ถุงนอนคลุมนอนนิ่งเงียบอัดกันไม่รู้ใครต่อใคร

               เผลอหลับไปสักพักใหญ่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องเพลงประสานเสียงของคนชาติไหนก็ไม่รู้แต่มาจากโซนเอเชียแน่ จึงรีบลุกขึ้นภาพที่เห็นไม่น่าเป็นไปได้ว่าเราจะมายืนบนยอดเขาที่สูงที่สุด เพราะมองเห็นภูเขาลูกอื่นๆ ทุกลูกไกลออกไปหลายกิโลเลยทีเดียว สักครู่ใหญ่ ดวงอาทิตย์ก็เริ่มทอแสงแดง เสียงร้องเพลงและแสงกดชัตเตอร์รัวขึ้น พร้อมๆ กับการแอ็กชั่นกันสุดฤทธิ์ก็บังเกิดขึ้น เพียงไม่กี่นาที ทุกคนก็รีบแยกย้ายกันลงจากยอดเขา เป็นอันเสร็จสิ้นการขึ้นมาเยือนยอดเขาอันเป็นประวัติศาสตร์ในด้านศาสนา

               แต่การเดินลงจากภูเขา เราต้องเดินลงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นขั้นบันไดของก้อนหิน ต่างจากการขึ้นซึ่งเป็นทางราบแล้วค่อยๆ วนสูงขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะลงมาถึงพื้นดินอีกครั้ง ทุกคนต่างปากเปียกปากแฉะบ่นตลอดทางว่าไม่ขอมาอีกแล้ว ไม่เอาแล้ว ขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมสูงขนาดนี้ ต้องหยุดพักไม่รู้กี่สิบครั้ง แต่ก็ดีที่ได้เห็นความสวยงามในยามเช้าระหว่างลงจากภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์และได้สัมผัสก้อนหินใหญ่ๆ ด้วยฝ่ามือตัวเอง

              เมื่อลงมาใกล้จะถึง ก็จะเห็นรั้วกั้นเป็นบริเวณสี่เหลี่ยมอยู่ด้านล่าง นั่นคือสถานที่ที่โด่งดังไปทั่วโลกนอกเหนือจากยอดเขามูซาแล้ว คือ โบสถ์เซนต์แคทเธอรีน ที่ตั้งอยู่ที่เชิงเขาโฮเร็บ (Mount Horeb) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ (Orthodox) ซึ่งได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 2545 บริเวณรอบๆ โบสถ์นั้นโอบล้อมไปด้วยภูเขา และวิวทิวทัศน์อันสวยงาม

             โบสถ์เซนต์แคทเธอรีนสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ถือเป็นโบสถ์คริสต์เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงใช้สอยเหมือนในอดีต กำแพงและตัวอาคารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ (Byzantine) อีกทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมเอกสารและรูปเคารพในคริสต์ศาสนายุคต้นอีกด้วย ผู้คนส่วนใหญ่จะแต่งกายเรียบร้อยระหว่างเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ สมกับที่ได้รับการยกย่องจริงๆ ในความยิ่งใหญ่

             กว่าจะเดินมาถึงรถก็ทำเอาเท้าฉีกขาดกันเลยล่ะครับ พอถึงรถเท่านั้นแหละต่างคนต่างสลบไสลหลับตายลืมสิ้นแม้กลิ่นถุงเท้า ตื่นมาอีกทีก็ใกล้ถึงไคโรแล้วล่ะครับ...เพราะไม่ได้นอนกันทั้งคืน บางคนรำพันว่า เดินขึ้นเขากันเกือบตายแล้วดันไปนอนหนาวอีก ไม่เห็นมีอะไรตื่นเต้น แค่การเห็นอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นเอง..

             ผมฟังแล้วก็แอบขำและก็สาบานตั้งแต่ครั้งแรกที่ขึ้นเขาแล้วว่าจะไม่มาอีก แต่เหมือนพระเจ้าลงโทษทำให้ผมต้องมายังสถานที่แห่งนี้ถึง 11 ครั้งแล้ว ทุกครั้งต้องขึ้นมายังจุดเดิมทุกที...โอ้...พระเจ้า เมื่อกลับถึงไคโรได้นอนพักผ่อนสองวันอย่างเต็มอิ่ม แล้วย้อนหลังกลับไปคิดถึงภาพที่ผ่านมากับประวัติศาสตร์ที่เราได้ศึกษามาจากตัวหนังสือ ทำให้วิชาที่ร่ำเรียนมีชีวิตมีภาพประกอบให้เห็นและจินตนาการไปได้ไกล ลืมนึกถึงความเหนื่อยยาก ความสับสนและความอลหม่าน ประวัติศาสตร์ของศาสดามูซา วันนี้กลับมีชีวิตขึ้นทุกบททุกตอนและทุกสถานที่ที่ได้สัมผัสมากับความจริงบนแหลมไซนายแห่งนี้

            ...อย่าลืม...หากมาอียิปต์อย่าหยุดแค่พีระมิด อย่าสนิทแค่ทะเลทราย เพราะสิ่งที่ท้าทายความแข็งแรง ความแกร่ง และความสมบูรณ์ของคุณ คือ "ญาบัล มูซา"

...........................................
(จากไซนาย  สู่ 'ญาบัล มูซา' ดินแดนที่โมเสสรับบัญญัติสิบประการ (2) : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร)