ข่าว

อังคาร กัลยาณพงศ์

อังคาร กัลยาณพงศ์

06 ก.ย. 2555

อังคาร กัลยาณพงศ์ : กระจกเงา โดยอัศศิริ ธรรมโชติ [email protected]

            “ใครจะอาจซื้อขายฟ้ามหาสมุทร    แสนวิสุทธิ์โลกนี้ที่พระสร้าง
        สุดท้ายกายวิภาคจะจากวาง            ไว้ระหว่างหล้าและฟ้าต่อกัน
        เราไม่ใช่เจ้าของฟ้าอวกาศ            โลกธาตุทั่วสิ้นทุกสรวงสวรรค์
        มนุษย์มิเคยนฤมิตตะวันจันทร์            แม้แต่เม็ดทรายนั้นสักธุลี”

              นี่คือบางบทที่ปรากฏอยู่ใน “ปณิธานกวี” ของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ผู้เพิ่งจะล่วงลับไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ด้วยวัยกว่า 86 ปี เป็นเหมือนอีกใบไม้หนึ่งซึ่งร่วงหล่นลงจากต้นไปตามกาลเวลาของโลก
 
              มีใบไม้มากมายที่หายไปจากโลก แต่มีไม่มากนักที่ชื่อเสียงเรียงนามจะปรากฏอยู่ตลอดไป อังคาร กัลยาณพงศ์ จะเป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งถูกจารึกชื่อไว้ในวงการจิตรกรรมและวรรณกรรมไทยไปตลอดกาลนาน ในฐานะจิตรกรกวีเอกของประเทศ
 
              ในช่วงที่ผมทำงานอยู่หนังสือพิมพ์สยามรัฐหลายสิบปีมาแล้ว จำได้ว่ามีโคลงชิ้นหนึ่งใส่กรอบแขวนไว้ภายในห้องทำงานของ อาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่งดงามทั้งด้วยอักษรลายมือและเนื้อความที่แต่งที่มีความหนึ่งดังนี้ว่า

 “น้ำเน่าขังท่อ            ข้างถนน
 มันย่อมเป็นเมฆฝน            แห่งฟ้า
 ถึงต่ำแต่หมายผล            เลอเลิศ
 เพียรเปรื่องปราชญ์มิช้า            ช่วยขึ้นมิติสรวง”

              เป็นโคลงของอังคาร กัลยาณพงศ์ ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่ามีที่ไปที่มาอย่างไรแน่ แต่ที่แน่ๆ นี่แหละคือความหมายของคำว่า  จิตรกรกวีเอก คือเป็นทั้งจิตรกรและเป็นกวีอยู่ในตัว
 
              ผมซื้อหนังสือบทกวีของอังคารเล่มแรกขณะที่ยังเรียนหนังสืออยู่ ชื่อ “กวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์” ถ้าจำไม่ผิดซื้อที่ร้านศึกษิตสยาม สามย่าน ขณะนั้นชื่อเสียงของอังคารกำลังเป็นที่คุ้นหูแก่บรรดานิสิตนักศึกษาทั่วไป ในฐานะกวีที่แปลกแหวกยุคสมัย ทั้งเนื้อหาและรูปแบบ
 
              ในหนังสือเล่มนี้ผมได้พบโคลงที่ว่า

 “ฉันเอาฟ้าห่มให้        หายหนาว
 ดึกดื่นกินแสงดาว            ต่างข้าว”

              นับว่าแหวกแปลกใหม่ในขณะนั้นโดยแท้จริง ทั้งด้วยความคิดจินตนาการและการริเริ่มสร้างสรรค์ อย่างที่นักวิจารณ์ว่า กลอน กาพย์ โคลง ของ อังคาร ไม่ใช่ไม่มีฉันทลักษณ์ แต่เป็นการแหวกฉันทลักษณ์ที่มีมาแต่ดั้งเดิม หลังจากที่อังคารได้ศึกษาของเก่ามาแล้วอย่างเจนจบ ทั้งโคลงแบบนรินทร์ (อินทร์) กาพย์ของเจ้าฟ้ากุ้ง และกลอนแบบสุนทรภู่
 
              พูดถึงภูกระดึง อังคารนับเป็นคนแรกๆ ที่บุกเบิกภูกระดึงของจังหวัดเลยออกมาให้โลกรู้จักก็ว่าได้ ตัวอย่างกลอนใน “ลำนำภูกระดึง” ความหนึ่งมีดังนี้ว่า

 “สวนสนสวยด้วยฟ้าเสกสร้าง    ซับซ้อนวางอย่างฉากแก้วกั้น
       ลิบลิ่วทุ่งหญ้าอารัณย์            สุดสายัณห์จวนย่ำสนธยา”

              อังคาร เป็นกวีที่คิดและเห็นในสิ่งที่คนมักคิดไปไม่ถึงและไม่เห็น อย่างเช่นว่า

 “ดูปูหอยเริงระบำ        เต้นรำทำเพลงวังเวงสิ้น
 กิ้งก่า กิ้งกือบิน                ไปกินตะวันและจันทร์”

              และเห็นแม้กระทั่ง

 “คางคกขึ้นวอทอง        ลอยล่องท่องเที่ยวสวรรค์
 อึ่งอ่างไปด้วยกัน            เทวดานั้นหนีเข้ากะลา”

              บทกวีของ อังคาร นั้นมีทั้งเรื่องของความรัก และสังคมการเมืองในแบบของท่าน ที่จะเห็นว่าตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ท่านอังคารได้แต่งกวีมา ท่านสนใจการเมืองอยู่เสมอ เป็นต้นว่า การเขียนถึงกรณีสนามบินอู่ตะเภาเมื่อไม่นานมานี้

 “อู่ตะเภาเมาฝรั่งฟ้า        อเมริกา หงส์นา
 ยึดฝรั่งยอดบิดา                พ่อเลี้ยง”

              ที่เหลือไปหาอ่านเอาเองครับ ประเดี๋ยวใครจะกระเทือนซาง

              อังคาร เป็นกวีที่เฝ้ามองเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่เสมอ ทั้งนี้สมกับ “ปณิธานของกวี” ที่ท่านได้เขียนเอาไว้ว่า

 “นิพนธ์กวีไว้เพื่อกู้        วิญญาณ
 กลางคลื่นกระแสกาล            เชี่ยวกล้า
 ชีวีนี่มินาน                เปลืองเปล่า
 ใจเปล่งแววทิพย์ท้า            ตราบฟ้าดินสลาย”
 
              มีผู้เรียก อังคาร กัลยาณพงศ์ ว่า “ท่านอังคาร” ซึ่งผมเห็นว่าก็ควรแล้ว นักการเมืองกเฬวราก เรายังเรียกว่าท่านได้ ทำไมจะเรียกกวีว่าท่านมั่งไม่ได้ละครับ