ข่าว

จากไซนาย สู่'ญาบัล มูซา'

จากไซนาย สู่'ญาบัล มูซา'

02 ก.ย. 2555

จากไซนาย สู่'ญาบัล มูซา' ดินแดนที่โมเสสรับบัญญัติสิบประการ (1) : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร

                  เชื่อไหมประวัติศาสตร์ที่ผมได้ศึกษาและได้จินตนาการมากว่า 30 ปี โดยไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มายืนอยู่ ณ ยอดเขาแห่งศาสดามูซา (อาลัยฮีสสลาม) หรือโมเสส ตามชื่อเรียกของผู้นับถือศาสนาคริสต์ ภูเขาแห่งนี้มีชื่อตามภาษาอาหรับว่า สถานที่ที่พระองค์ทรงขึ้นไปคำบัญชาจากอัลลอฮ์ หรือรับบัญญัติ 10 จากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อเรียกร้องให้มนุษย์อยู่ในหนทางแห่งความเที่ยงตรง ให้ตายซิ....วันนี้ผมได้ยืนอยู่จุดสูงสุดของยอดภูเขา “ฏูรซีนาย” แล้วจริงๆ ภูเขาหนึ่งเดียวที่มีถึงสามศาสนาให้ความนับถือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์และศาสนายิว..และนี่คือความยิ่งใหญ่ของภูเขาแห่งประวัติศาสตร์ตามรอยเท้าของศาสดามูซา....โอ้อัลลอฮ์...พระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่

                  หากเอ่ยถึงประเทศอียิปต์ นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะต้องนึกถึงพีระมิด และสฟิงค์ แต่เชื่อว่าอีกหลายล้านคนเมื่อมาประเทศนี้แล้วจะต้องเดินทางกลับมาอีกครั้งเป็นครั้งที่สองและที่สาม ถ้าไม่ใช่เพราะความแปลกแห่งแหลมไซนาย (Sinai Peninsula) แหลมไซนาย หรือซีนาย เป็นแผ่นดินรูปสามเหลี่ยมที่มียอดแหลมอยู่ทางทิศใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองท่าตากอากาศอย่างดีของชาร์มเอลเชค (Sharm el Sheikh) บนริมฝั่งทะเลแดง ส่วนด้านทิศเหนือติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีเนื้อที่ราว 6 หมื่นตารางกิโลเมตร ปัจจุบันกลายเป็นแผ่นดินอียิปต์ไปเรียบร้อยแล้ว

                การเดินทางมายังแหลมไซนาย สมัยก่อนโน้น ส่วนใหญ่จะนิยมเดินทางมาในช่วงเริ่มๆ ของฤดูหนาวประมาณเดือนกุมภาพันธ์ หรือไม่ก็ช่วงปลายๆ ฤดูหนาว เพราะเมื่อเดินทางมาถึง ความหนาวที่มีกลายเป็นอบอุ่นหรือร้อนขึ้นมาทันที เนื่องจากตอนกลางวันจะมีแดดจ้าและอากาศกำลังดี การเดินทางจากไคโรมาสู่แหลมไซนายมาได้หลายทาง แล้วแต่ว่าต้องการความตื่นเต้นตื่นตากับความสวยงามของภูเขาตลอดสองข้างทาง หรือว่าชอบความงามของทะเลทรายและความอ้างว้าง

               แต่สำหรับผมแล้ว การเดินทางไปแหลมไซนาย ผมจะออกเดินทางจากไคโรตอนเช้าประมาณ 06.30 น. ทานอาหารแล้วนอนพักสบายๆ ตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเข้าแนวภูเขาอันหลากหลาย รถแล่นไปตามซอกภูเขาที่มีแต่โขดหินสูงๆ ใหญ่ๆ อย่างน่าทึ่ง ระหว่างที่รถแล่นไปตามทางคดเคี้ยวอย่างช้าๆ จะได้สัมผัสกับความงามของภูเขาแบบกระชั้นชิด สีของภูเขาแต่ละลูกสามารถเรียกเสียง “ว้าว...โอ้โฮ้” ตลอดเวลาและนี่คือการเดินทางเพื่อเก็บความงามไว้ในความรู้สึกจริง

              เมื่อผ่านป่าภูเขามาแล้วไม่ไกล เราก็จะทะลุออกมายังถนนโล่งแจ้ง มองเห็นท้องฟ้าสดใสตัดกับน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มอยู่ไม่ไกล ให้ตายซิ อะไรจะสวยงามขนาดนี้ แต่รถก็ยังแล่นไปเรื่อยๆ เลียบขนานกับทะเล ซึ่งดูไม่กว้างนัก เพราะอีกฟากหนึ่งเป็นเขตประเทศอิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย จุดหมายแรกที่เราต้องตะลึงคือ ป้อมปราการแม่ทัพซอลาฮุดดีน ซึ่งเป็นเกาะเด่นอยู่กลางทะเล บนเกาะนั้นมีหลายห้อง โดยเฉพาะห้องขังผู้ทำผิด บนยอดเขาจะมองเห็นทุกด้านในการป้องกันข้าศึกที่จะบุกรุกเข้ามาทางทะเล แต่การเดินทางไปยังเกาะต้องนั่งเรือข้ามไป ซึ่งมีเรือให้บริการตลอด

               หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ “เมืองตอบอ” ในสำเนียงอาหรับ ภาษาอังกฤษ “Taba” แต่คนไทยเราชอบเรียก “ทาบะ” เพื่อไปดูเขตแดนระหว่างอียิปต์กับอิสราเอล ซึ่งมีท่าเรือระหว่างสองประเทศ โดยมีทหารและตำรวจยืนเฝ้าด่านอย่างเข้มงวดจนไม่สามารถเข้าไปยังท่าเรือได้ แต่มีโรงแรมไว้คอยต้อนรับอย่างดี หนำซ้ำยังสามารถเดินหาซื้อของได้ในบริเวณโรงแรมที่จัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยว มีที่ละหมาดและห้องน้ำ ซึ่งสะอาดทีเดียว จุดเด่นของโรงแรมนี้คือได้ชมบรรยากาศของฝั่งประเทศอิสราเอลและแผ่นดินไซนาย

               ทุกครั้งพอมาถึงที่ตอบอคือเวลาทานอาหารเที่ยงพอดี จากนั้นก็เดินทางต่อไปยัง “เมืองนูวัยบะ” ซึ่งเป็นท่าเรือที่จะเดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย ไม่ไกลจากสถานที่แห่งนี้จะเป็นหมู่บ้านบาดาวี หรือเบดูอิน ซึ่งเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึกเสื้อผ้าต่างๆ มีร้านชากาแฟแบบชาวชนบท ที่ขาดไม่ได้ชีช่าหรือบารากู่ไว้คอยต้อนรับอีกด้วย หลังจากนั้นก็มุ่งตรงไปยัง “เมืองดาฮับ”  แปลเป็นไทยว่า “เมืองทอง” อยู่ห่างจากนูวัยบะพอสมควร เป็นสถานที่ๆพักผ่อนตลอดการเดินทางกันเลยทีเดียว

                ที่เลือกสถานที่แห่งนี้ เนื่องจากเป็นเมืองตากอากาศที่สุดยอดในด้านความสวยงามทั้งธรรมชาติบนผิวโลกในยามค่ำคืนและใต้ท้องทะเลในตอนเช้า สถานที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมายหลายเชื้อชาติ แม้จะเป็นสถานที่เล็กๆ แต่ตลอดทางประดับประดาไปทั่วไฟหลากสี มีร้านอาหารสดๆ จากทะเล ร้านชากาแฟ ดิสโก้เธค ร้านบิลเลียด ร้านของของที่ระลึก ที่สำคัญมีให้เช่าตีนกบและหน้ากากเพื่อใช้ในการดำน้ำหรือต้องการดำลงสู่ท้องทะเลลึกก็มีครูสอนอย่างดีอีกด้วย กว่าจะเดินทางมาถึงก็ตกเย็นพอดี เมื่อได้ที่พักในราคาถูกๆ แล้วถ้าจำไม่ผิดค่าเช่าในสมัยก่อนตกแค่คืนล่ะ 30 ปอนด์ ประมาณ 180 บาท ไม่รวมค่าอาหารและเป็นบังกะโลที่เราสามารถหาเช่าได้สบายๆ พอตกเย็นก็เดินชมผู้คน ชมวิวริมทะเลอันสงบในชุดสบายๆ ก่อนที่จะขึ้นห้องนอนพักผ่อน เพราะเดินทางมาตลอดวัน

               วันที่สองมุ่งสู่เมืองชาร์มเอลเชค (Sharm el Sheikh) สถานที่แห่งนี้ใช้เวลาเดินทางไกลพอสมควร สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาที่อยู่ห่างๆ กันแต่มีความสวยงามอีกแบบ ระหว่างทางก่อนจะถึงเมืองชาร์มฯ ต้องลงไปเคารพหลุมศพผู้ริเริ่มสร้างถนนในดินแดนไซนาย ปัจจุบันรถทัวร์ทุกคันจะจอดเพื่อให้ลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและมีของจำหน่ายเป็นร้านเล็กๆ หลังจากนั้นก็มุ่งสู่เมืองชาร์มฯ ทันที

               เมืองชาร์มเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม เป็นเมืองประดิษฐ์ที่มีความแตกต่างจากเมืองที่ผ่านมา จุดเด่นอยู่ที่ตลาดคนเดิน ซึ่งอยู่ที่ “อ่าวเนียะมัต” หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Na’ama bay” เป็นสถานที่คนเดินตั้งแต่บ่ายจนถึงเที่ยงคืนกันเลยทีเดียว มีร้านอาหารเต็มสองข้างทาง มีเสียงดนตรี การเต้นรำ เต้นระบำเรียกแขกเข้าร้าน หลายครั้งที่มาที่นี่ เสมือนหนึ่งไปเดินเล่นอยู่ในถิ่นยุโรปเลยทีเดียว เนื่องจากเต็มไปด้วยชาวต่างชาติส่วนใหญ่ คนที่นี่จะใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนขับแท็กซี่หรือตำรวจจราจร แต่ขอบอกว่าค่าแท็กซี่แพงหูฉี่เลยทีเดียว 

              ก่อนจะเดินทางออกจากถนนคนเดินก็อย่าลืมขึ้นไปดูทิวทัศน์บนยอดเขาที่เตรียมไว้ให้เป็นจุดชมวิว แล้วจะได้เห็นถึงบริเวณของอ่าวเนียะมัตอย่างชัดเจน แต่หากต้องการไปเดินเล่นริมทะเลก็สามารถเดินไปชมได้เลย มีทั้งปลาวาฬเกยตื้นในชุดสีแปลกตาหรือโล่งแจ้ง ขอแนะนำให้สวมแว่นตาดำในการเดินถิ่นนี้ เพื่อความปลอดภัย (ตัวใครตัวมันละครับ)

              ปัจจุบัน เมืองชาร์มมีการแสดงจระเข้ที่สั่งตรงมาจากประเทศไทย โดยมีพระเอกจระเข้ของเราในนามคุณบุญเยือน และการเต้นระบำเล่นกับไฟหรืองูมีพิษชวนให้หวาดเสียวกันไม่ใช่น้อย หากไม่ชอบทานอาหารที่มีเสียงรบกวนอย่างถนนคนเดิน ก็สามารถไปเดินเล่นและหาอาหารร้านเก่าแก่ทานได้อย่างสบายพร้อม บรรยากาศสุดเท่ มีร้านอาหารให้เลือกสารพัด ร้านขายผลไม้ ขายอาหารแบบคนพื้นเมือง ร้านขายหนังสือและร้านกาแฟ ทุกอย่างมีให้เลือกแล้วแต่ต้องการ แต่ถ้าจะเที่ยวให้สนุกก็ต้องมาในช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป เพราะผู้คนจะล้นหลามทั้งตลาดเก่าและเมืองคนเดินเลยล่ะขอบอก

             เดินเที่ยวกันตลอดวันจนสมอยาก ก็ต้องรีบกลับไปยังดาฮับ เมืองพักผ่อนอีกครั้ง เพื่อพักผ่อน และตื่นเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่นออกไปเดินสูดอากาศจากทะเลแดงกลับมาทานข้าวเช้าแล้วรีบออกไปว่ายน้ำชมประการังที่ “อาบูฮูล” ภาษาไทยก็แปลว่าสฟิงค์ เป็นสถานที่สำหรับดูปะการังโดยเฉพาะ หากใครชอบว่ายน้ำขอแนะนำให้มาที่แห่งนี้เมืองใต้ท้องทะเลมีความสวยงามปะการังน้ำล้านสี ปลาหลากชนิดว่ายมาแตะเนื้อต้องตัวและสัมผัสได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่สำคัญหากว่ายออกไปสักนิดจะเหมือนเป็นเหวลึกในทะเลเห็นแล้วหวาดเสียว น่ากลัว แต่เพราะความสวยของปะการังทำให้ต้องว่ายไปเรื่อยๆ “ให้ตายซิอยากเป็นนายเงือกจริงๆ” ผมสบถในใจเมื่อไม่สามารถดำให้ลึกลงไปมากกว่านี้ เพราะเรามีแค่หน้ากากธรรมดาและมีท่อให้อมในปากไว้หายใจเท่านั้น

              หลังจากชมความงามใต้ท้องทะเลแล้วก็ขึ้นมาดื่มชาร้อนๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นด้วยแรงลม ขอบอกว่าสุดยอดจริงๆ ชาแก้วนี้ ในตอนกลางคืนหากต้องการไปนอนกลางดินกินกลางทรายและขับรถเล่นกลางทะเลทรายก็อยู่ไม่ไกลเช่นกัน มีการให้บริการและการรักษาความปลอดภัยอย่างดี เหนื่อยทั้งวันก็กลับมานอนเอาแรง เพราะพรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาต้องเตรียมความพร้อมที่จะลุยไปยังสถานที่สำคัญและเป็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ด้านศาสนา ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันถึง 3 ศาสนาเลยทีเดียว นั่นคือการเดินทางไปยังเมือง “เซนต์ แคทเธอรีน" (Saint Catherine) เพื่อมุ่งสู่ภูเขาฏูรซีนาย ภูเขาแห่งศาสดามูซาหรือโมเสสอันเลื่องลือไปทั่วโลก

.............................................
(จากไซนาย สู่'ญาบัล มูซา' ดินแดนที่โมเสสรับบัญญัติสิบประการ (1) : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์  : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร)