ข่าว

สาวไทย-หนุ่มอเมริกาฟันฝ่ามรสุมด้วยความรัก

สาวไทย-หนุ่มอเมริกาฟันฝ่ามรสุมด้วยความรัก

23 ส.ค. 2555

พิษการเมืองไทยทำหมดตัว ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่อเมริกา : คอลัมน์เขยฝรั่ง สะใภ้อินเตอร์ : โดย...เสาวลักษ์ คงภัคพูน //กวินทรา ใจซื่อ

            วัยที่ห่างกันถึง 23 ปี ไม่ได้เป็นอุปสรรคความรักระหว่าง "สุภัทรา ชูเลิศ ฟอลส์" วัย 28  ปี สาวกรุงเทพฯ พบรักกับหนุ่มชาวอเมริกัน "เจฟฟรี่ย์ โรนอลท์ ฟอลส์" วัย 51 ปี ที่ปรึกษาด้านการเงิน บริษัทลงทุนเมลิรินส์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งสองตกลงใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่า 6 ปีแล้ว เวลาไม่มากแต่อุปสรรคชีวิตเข้ามามากมาย บางครั้งแทบจะกลั้นน้ำตาไม่ไหว ยืนไม่อยู่ หากไม่มีกันและกันเคียงข้างหัวใจอาจอ่อนล้าจนเกินกว่าจะลุกขึ้นสู้

          "สุภัทรา" เรียนจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สาขาการท่องเที่ยว ศูนย์การศึกษานานาชาติ สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา เรียนจบเข้าทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่นี่ทำให้ได้พบกับ "เจฟฟรี่ย์" หนุ่มอเมริกันจากกลุ่มเพื่อนๆ ที่รู้จักกันมาก่อน

          วันที่ 23 เมษายน 2549 ที่ลานโบว์ลิ่ง สยามพารากอน ยังกระจ่างอยู่ในความทรงจำของ "สุภัทรา" วันแรกที่เธอพบเขาที่เป็นคนในกลุ่มที่นัดมาเล่นโบว์ลิ่งด้วยกัน

          เห็นเขาเดินมาแต่ไกล เห็นแสงออร่าที่หนุ่มต่างชาติตัวสูง ดูอบอุ่น แต่ยังไม่ชอบกันทันที เพราะเพื่อนๆ ในกลุ่มที่มาเล่นโบว์ลิ่งมีมาก คุยกันไม่ทั่วถึง กระทั่งทั้งกลุ่มไปสังสรรค์กันต่อที่อพาร์ตเมนต์ของคุณเจฟ

           "ผมเริ่มประทับใจคุณสุภัทราตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอเขา หลังจากที่โยนโบว์ลิ่งเสร็จ ทุกคนในกลุ่มก็ชวนกันไปปาร์ตี้ต่อที่อพาร์ต์เมนต์ของผม สิ่งที่ทำให้ผมจำเขาได้คือ มีเขาคนเดียวที่ยืนล้างจานในครัว ส่วนสาวๆ คนอื่นก็ยืนดื่ม นั่งเล่นกัน เลยตัดสินใจแลกเบอร์โทรศัพท์กับเขาเพื่อขอเดทต่อ"

           การเปิดบริษัทขายอาหารเสริมในเมืองไทยนานหลายปี ทำให้เจฟฟรี่ย์รู้และเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยเป็นอย่างดี จากรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและนิสัยที่เข้ากับผู้คนได้ง่ายเขาจึงเนื้อหอมจนเป็นที่หมายปองของสาวๆ

           "ก่อนหน้าที่จะเจอกับคุณสุภัทรา ผมเปิดบริษัทอาหารเสริมชื่อโปรพลัสอยู่เมืองไทย ทำให้ต้องเรียนรู้ เข้าใจทั้งภาษา ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของคนไทยด้วย ส่วนตัวผมถูกใจผู้หญิงเอเชียโดยเฉพาะผู้หญิงไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะสวยงามทั้งหน้าตา และกิริยามารยาทดีมีความเป็นเพศหญิงเต็มตัว แต่ผมมักได้เจอคนที่คบผู้ชายหลายคนในเวลาเดียวกัน ผมจึงมองหาผู้หญิงที่ธรรมดา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม"

           ทั้งคู่ใช้เวลาศึกษาดูใจกันในระยะแรก ด้วยการไปดูหนัง รับประทานอาหาร โยนโบว์ลิ่ง จนตกลงใจคบหาเป็นแฟนอย่างจริงจัง

           "ตอนไปเดทครั้งแรก คุณเจฟฟรี่ย์ลองใจมากเลยค่ะ วันนั้นเพิ่งเลิกงานก็ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว เขาพาไปนั่งกินอาหารทะเลข้างถนนที่เยาวราช ร้อนก็ร้อน เหงื่อก็ออก เราใส่สูททำงาน จากนั้นเขาก็สั่งอาหารเป็นภาษาไทย ที่กินยากๆ พวกอาหารทะเลเผา ทั้งกุ้ง ปู ปลาเผา แล้วก็ผัดผักบุ้ง ดูว่าเราจะบ่นไหม แต่เราสบายมาก กินปกติก็คุยกันไปประมาณ 15 นาที ก็บอกเราว่า นี่ถ้าเราไม่น่าสนใจจริงๆ เขาเดินหนีตั้งแต่10 นาทีแรกแล้ว จากนั้นก็ตกลงคบหากันประมาณ 1 ปี เขาก็ขอแต่งงาน"

            จากนั้นทั้งสองเปิดร้านสมูธตี้ตามห้างสรรพสินค้า มีกิจการ 4 สาขาที่ต้องดูแล จนกระทั่งเกิดวิกฤติทางการเมืองของไทย ที่ร้านขายของไม่ได้กิจการเริ่มแย่ ประกอบกับระยะนั้น เจฟฟรี่ย์เป็นโรคลิ่มเลือดในสมอง ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวเป็นว่าเล่น เงินที่เก็บออมไว้ก็เริ่มหมดเพราะค่ารักษาแต่ละครั้งสูงกว่าแสนบาท

              "การเกิดวิกฤติทางการเมืองทำให้ชีวิตผกผัน เพราะที่ร้านขายของแทบไม่ได้ ทำให้เราตัดสินใจปิดกิจการ คุณเจฟฟรี่ย์ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการป่วย ทำให้ตัดสินใจหิ้วกระเป๋าลาครอบครัวไปอยู่บ้านเกิดของสามี แม่เป็นห่วงมากเพราะไม่รู้ว่าลูกสาวจะตกระกำลำบากขนาดไหน สมัยอยู่เมืองไทยมีทั้งแม่บ้าน คนขับรถ บ้านพักหรูหรา พอมาอยู่อเมริกาเราต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ ช่วงแรกบินมาถึงนิวยอร์กสองคนผัวเมีย  มีเงินติดตัวแค่ 1,000 ดอลลาร์ กระเป๋าคนละ 2 ใบ คุณเจฟต้องมาเริ่มต้นหางานทำ เช่าบ้าน ต้องมาซื้อข้าวของเครื่องใช้ใหม่ทั้งหมด เรามากันแต่ตัวจริงๆ อยู่มานานปีกว่าก็ยังไม่มีงานทำ ดีที่คุณเจฟเขาเป็นคนขยัน หนักเอาเบาสู้"

            สองปีแรกเป็นช่วงลำบากของทั้งคู่ เจฟฟรี่ย์หางานทำนานกว่า 1 ปี ระหว่างนี้ทั้งสองคนต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด เพื่อช่วยกันพยุงฐานะจนกว่าจะหางานทำได้

           "ช่วงที่ตัดสินใจเดินทางไปทำธุรกิจที่เมืองไทย ผมขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ เพราะจะปักหลักอยู่ประเทศไทยถาวร ไม่คิดว่าจะกลับมาอยู่อเมริกาแล้ว แต่เมื่อสถานการณ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ แล้วไม่สบายอีก ส่วนครอบครัวก็ช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลบ้าง โทรศัพท์มาให้กำลังใจ แต่ไม่ได้ช่วยเหลือกันเหมือนคนไทย เพราะแต่ละครอบครัวก็มีภาระเหมือนกัน"

             แทบไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของเขยฝรั่ง-สะใภ้อินเตอร์คู่นี้ จะตกระกำถึงขั้นไม่มีเงิน ต้องกินแต่ไข่

             พอสามีได้งาน เงินเดือนออกเดือนแรก สิ่งที่ทำคือ จูงมือกันไปกินข้าวนอกบ้านมื้อแรก ไม่รู้รสชาติของอาหาร เพราะน้ำตาไหลอาบแก้มของทั้งสอง บ่งบอกถึงความดีใจ ภูมิใจ ที่สามารถก้าวฝ่าอุปสรรคชีวิตครั้งใหญ่มาได้

             ปัจจุบันทั้งคู่อาศัยอยู่ที่เมืองสกอตเดล รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา มีงานทำที่มั่นคง เจฟฟรี่ย์เป็นที่ปรึกษาของบริษัททางการเงินแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ส่วนสุภัทราทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่ง

             นอกจากจะทำงานประจำแล้ว การเปิดหน้าเฟซบุ๊กในชื่อว่า "คู่มือสะใภ้อินเตอร์" เป็นงานอดิเรก มีเนื้อหาการให้ความรู้กับสาวไทยที่กำลังจะเดินทางไปใช้ชีวิตยังต่างประเทศได้เตรียมตัวเตรียมใจมาใช้ชีวิตในต่างแดนด้วย

             "เป็นแม่บ้านมา 2 ปี น่าเบื่อ นั่งๆ นอนๆ กินๆ รู้สึกวันๆ ผ่านไปช้า มีเวลาว่างเลยนั่งเขียนอะไรเล่นๆ เขียนไปเขียนมาเลยคิดว่า อยากทำหนังสือ ด้วยความที่มาใหม่ๆ เราไม่รู้ ก็ถามสามี ถามเพื่อนๆ เลยคิดว่า ถ้าเอาประสบการณ์จริงมาเขียนเล่าขำๆ ให้สะใภ้อินเตอร์อ่าน คงจะสนุกดี เลยทำเป็นเพจขึ้นมาแชร์ประสบการณ์ของแต่ละคน ตอนนี้มีสมาชิกประมาณ 300 คนแล้ว ส่วนเรื่องงานประจำนี่เราสมัครใจทำเอง อยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ เพราะเรื่องเงินไม่จำเป็นสำหรับเราแล้ว แต่คนเคยทำงาน พอได้ทำงานที่นี่มีอะไรใหม่ๆ ให้เรียนรู้เยอะ มีเพื่อน มีสังคม มีเงินใช้เพิ่ม มันรู้สึกว่าชีวิตเรามีค่าขึ้น"

              "ทุกวันนี้เรามีทุกอย่างเท่าที่เราต้องการแล้ว ชีวิตจึงสุข สงบ และสบายขึ้น ผมคิดมาตลอดว่าตัวเองโชคดีที่เลือกผู้หญิงที่ดีมาเป็นคู่ชีวิต เพราะคุณสุภัทราไม่เคยทิ้งเราไปไหน เขาจะอยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา"

..................................................
(พิษการเมืองไทยทำหมดตัว ต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่อเมริกา : คอลัมน์เขยฝรั่ง สะใภ้อินเตอร์ : โดย...เสาวลักษ์ คงภัคพูน //กวินทรา ใจซื่อ)