ข่าว

ค่าน้ำนม

ค่าน้ำนม

15 ส.ค. 2555

ค่าน้ำนม : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับ ประภัสสร เสวิกุล

             ทุกๆ ปี ในช่วงวันแม่ เราจะได้ยินเสียงเพลง “ค่าน้ำนม” และ “ใครหนอ” กังวานอยู่ทั่วไป เป็นเครื่องเตือนให้นึกถึงแม่และพระคุณของแม่ได้เป็นอย่างดี เพลง “ค่าน้ำนม” เป็นเพลงที่ครูไพบูลย์ บุตรขัน แต่งให้แก่มารดา คือคุณแม่พร้อม ซึ่งดูแลครูไพบูลย์มาตั้งเล็กจนโต เพลงนี้บันทึกเสียงครั้งแรกในปี พ.ศ.2492 โดยชาญ เย็นแข ส่วนเพลง “ใครหนอ” ประพันธ์โดย ครูสุรพล โทณะวณิก ศิลปินแห่งชาติ ขับร้องโดย สวลี ผกาพันธุ์ ศิลปินแห่งชาติอีกท่านหนึ่ง และได้รับพระราชทานรางวัลแผ่นเสียงทองคำในปี พ.ศ.2507 ถ้านับอายุอานาม เพลงทั้งสองก็มีอายุกว่า 50-60 ปีแล้วครับ
 
             เพลง “ใครหนอ” เป็นเพลงสมัยใหม่ในยุคนั้น ผมจำได้ว่าตอนที่เพลงนี้ออกอากาศแรกๆ นั้น ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนรู้สึกแหม่งๆ กับเนื้อเพลงบางท่อน เช่น “ใครหนอชักชวนดูหนังสี่จอ” หรือ “ใครหนอปรานีให้เราขี่คอ” เพราะความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกในเวลานั้น ยังไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนเช่นเวลานี้ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ปัจจุบันนี้ก็แทบจะไม่มีคนรู้จักคำว่า “หนังสี่จอ” แล้วล่ะครับ และเวล่ำเวลาที่สมาชิกในครอบครัวจะใกล้ชิดกันหรือนอนมุ้งเดียวกันก็หาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะชีวิตในเมืองใหญ่ ที่พ่อแม่เป็นเหมือนเครื่องจักรผลิตเงิน และลูกๆ ทำหน้าที่เป็นผู้ใช้เงิน
 
             การแบ่งหน้าที่กันทำกิจการใดๆ นั้น นับเป็นเรื่องที่ดี จะเว้นก็แต่การแบ่งหน้าที่หาเงินกับหน้าที่ใช้เงินเท่านั้นแหละครับที่ยังมองหาสิ่งที่ดีไม่พบ และการที่พ่อแม่ยอมทนลำบากตรากตรำนั้น ส่วนหนึ่งก็เพื่อลูก เพราะพ่อแม่แทบทุกคนต้องการเห็นลูกของตนมีความสุข มีการศึกษาสูงๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง แต่การที่พ่อหรือแม่ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ลูกสุขสบายนั้น ก็มีคำถามที่น่าคิดว่าพ่อแม่กำลังทำอะไรกับชีวิตลูก เพราะเด็กที่เติบโตมาจากการประคบประหงม โดยไม่มีโอกาสได้สัมผัสความเป็นจริงของชีวิต ไม่มีโอกาสรับรู้ความทุกข์ยากเดือดร้อนของพ่อแม่ และไม่มีโอกาสที่จะแบ่งเบาภาระของพ่อแม่นั้น ย่อมจะขาดภูมิคุ้มกันชีวิต และวันหนึ่งเมื่อเติบโตขึ้นและเผชิญกับปัญหาโดยไม่มีพ่อแม่เป็นผู้คอยแก้ไขให้ ชีวิตก็คงจะพบกับความยุ่งยาก
 
             มีคุณหมอท่านหนึ่งได้ให้เคล็ดลับของความสำเร็จของแม่และลูกไว้ว่า ประการสำคัญคือถ้าแม่มีทุกข์ต้องให้ลูกร่วมทุกข์ด้วย อย่าให้ลูกร่วมแต่สุขเท่านั้น เพราะวิสัยของแม่โดยทั่วไปมักจะเก็บงำความทุกข์ต่างๆ ไว้ในใจ และให้ลูกได้เห็นแต่ความสุขชื่นรื่นรมย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ เพราะลูกจะไม่มีวันเข้าใจในความยากลำบากของแม่ และเติบโตเป็นคนที่เปราะบาง เรียกร้องในสิ่งที่ตนต้องการโดยขาดความยั้งคิด
 
             ในทางกลับกัน ลูกที่ร่วมทุกข์กับแม่ จะมีความเข้าใจชีวิต มีความอดทน และมีความฮึดที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ
 
             ขณะเดียวกันก็มีความรักความเห็นอกเห็นใจแม่ยิ่งขึ้น คุณหมอกล่าวว่าลูกที่ร่วมทุกข์กับแม่ มักจะเติบโตเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ และเป็นกำลังที่เข้มแข็งของสังคม
 
             ในส่วนของ “ค่าน้ำนม” นั้น ระยะหลัง เด็กๆ มักจะบริโภคนมผงกันเป็นส่วนใหญ่ จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าการที่คนสมัยนี้ที่ดื้อดึง ขาดความกตัญญู หรือถูกคนอื่นจูงจมูกได้ง่าย เป็นเพราะดื่มนมวัวแทนนมแม่นี่แหละ แต่ที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางก็คือแม่ที่ให้นมลูกจะมีความผูกพันระหว่างแม่กับลูกสูงกว่าการให้นมผง
 
             ครับ อย่างน้อยที่สุดก็คงจะตีความหมายของคำว่า “ค่าน้ำนม” แตกต่างกัน ดังเรื่องที่เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ผมฟัง โดยยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ว่ามีคุณแม่คนหนึ่งเลี้ยงดูลูกชายคนเดียว จนประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ตามประสาคนแก่ที่มักจะขี้บ่นและทวงบุญคุณลูกเสมอเมื่อไม่ได้ดั่งใจ จนวันหนึ่งลูกชายทนไม่ไหวก็นำเงินจำนวนหนึ่งมาให้แม่ และบอกว่าที่แม่เลี้ยงผมมา ผมคำนวณแล้วว่าใช้นมผงไปกี่กระป๋องและคิดออกมาเป็นเงินจำนวนเท่านี้ ดังนั้น ต่อไปนี้ผมไม่ได้เป็นหนี้ค่าน้ำนมแม่อีกต่อไปแล้ว
 
             ผมคิดว่าสิ่งที่แม่ทุกคนต้องการจากลูก ก็คือความรัก และการดูแล เอาใจใส่ คงไม่มีแม่คนไหนอยากได้เงิน “ค่าน้ำนม” จากลูกหรอก ใช่ไหมครับ?