
ก้าวที่สองรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์'
ก้าวที่สองรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์' ลดประชานิยม-เดินนโยบายบนโลกความจริง : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : โดย...ณัฐฎ์ชิตา เกิดแดง
ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ รัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแถลงผลงานที่นั่งเก้าอี้มาครบ 1 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เน้นไปที่นโยบายเร่งด่วน หรือนโยบายประชานิยมเป็นหลัก ขณะที่กระทรวงการคลังนั้น ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญในการผลักดันหลายๆ นโยบายในช่วงที่ผ่านมา โดย "ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงและประเมินผลการดำเนินงานในรอบปีว่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้
"นโยบายเร่งด่วน 10 ด้าน รัฐบาลทำได้ทั้งหมด ส่วนนโยบายจำเป็นที่ประชาชนต้องการเราก็ทำได้ แม้ว่ารัฐบาลจะเริ่มงานจริงๆ ได้ล่าช้า เพราะติดปัญหาน้ำท่วมช่วงปลายปีก่อน จึงถือได้ว่าปีแรกของรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์มีปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่เราก็ผ่านมาได้ด้วยดี เชื่อว่าในช่วงเวลาที่เหลือต่อไปการทำงานจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น"
นายทนุศักดิ์กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลรับผิดชอบนโยบายของพรรคที่เกี่ยวข้องกับประชาชนส่วนใหญ่ หรือรากหญ้า ซึ่งรากหญ้าก็ต้องยอมรับว่ามีหลายระดับ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะตนเป็นตัวแทนมาจากต่างจังหวัด มีความเข้าใจชาวบ้าน ผู้มีรายได้น้อย เมื่อเข้ามาจึงตั้งใจมาผลักดันโครงการต่างๆ อย่างเต็มที่ เพื่อให้สอดรับกับสโลแกนของพรรคที่ว่า "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส"
ผลักดันลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังระบุว่า จริงๆ แล้วรัฐบาลเริ่มดำเนินการกับคนกลุ่มบนก่อน คือ การลดภาษีต่างๆ เพื่อลดรายจ่าย เช่น การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปีนี้ และเหลือ 20% ในปีหน้า การให้ค่าลดหย่อนทางภาษีเพิ่มเติม เช่น การซื้อบ้านหลังแรก ล่าสุดอยู่ระหว่างพิจารณาเรื่องการแยกยื่นภาษีระหว่างสามีภรรยา และในอนาคตก็จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้เสนอมาแล้วในเบื้องต้น เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น โดยอาจจะมีการซอยอัตราภาษีให้ถี่มากขึ้น และขยายฐานรายได้ขั้นสุดท้ายที่ได้รับการยกเว้นภาษีมากขึ้น เช่น จากเดิมผู้มีรายได้ 1.5 แสนบาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี ก็อาจจะขยับเป็นรายได้ไม่เกิน 2 แสนบาทไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะทำให้มนุษย์เงินเดือนที่ไม่ต้องเสียภาษีมีจำนวนมากขึ้น
จากนั้นก็ซอยขั้นรายได้และอัตราภาษีให้ถี่ขึ้นจากปัจจุบันแต่ละขั้นห่างกันที่ 10% ก็จะห่างกันแค่ 5% จนกระทั่งสูงสุดจะปรับลดจาก 37% เหลือ 35% เพราะอยากให้รางวัลคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ โดยปีหน้าอาจจะมีการผลักดันเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น เพราะนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่ต้องการเพิ่มภาระให้แก่ประชาชน แต่หากเป็นการลดภาระก็ไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำให้รายได้ของกรมสรรพากรหายไปในช่วงแรก ส่วนในระยะยาวเชื่อว่ารายได้ของกรมจะกลับคืนมา
นายทนุศักดิ์ระบุว่า เหตุที่มองว่ารายได้ของรัฐจะกลับคืนมา เนื่องจากก่อนหน้านี้ตนสั่งการให้ 3 กรมภาษีทำงานอย่างบูรณาการมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้เข้ามาเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ไม่ได้หมายความว่าไปไล่บี้รีดภาษีจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยจะเน้นไปกลุ่มที่ยังเสียภาษีไม่ถูกต้อง และขยายไปยังธุรกิจใหม่ๆ ที่ยังอยู่นอกระบบมากกว่า ซึ่งกรมสรรพากรก็มีแผนพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บอยู่แล้วและของบประมาณลงทุนด้านระบบ บุคลากรเข้ามา ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ขัดข้อง แต่ขอให้จัดทำแผนเสนอมาให้ชัดเจนอีกครั้ง หากสรรพากรทำได้ตามที่วางแผนไว้ก็จะทำให้สามารถเก็บรายได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว หรือจากที่ปัจจุบันจัดเก็บได้ 1.6 ล้านล้านบาท อาจเพิ่มเป็น 2-3 ล้านล้านบาท ในอนาคต ก็จะทำให้รัฐไม่ต้องขาดดุลงบประมาณ เป็นต้น
ก้าวที่สองเน้นช่วยเหลือผ่านกองทุน
"รัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนระดับรองลงมา หรือกลุ่มรากหญ้าผ่านโครงการพักหนี้ บัตรเครดิตชาวนาที่ถือเป็นโครงการที่ประกาศไว้และต้องทำเร่งด่วน แต่ต่อไปการทำงานของรัฐบาลจะเน้นให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนผ่านไปยังกองทุนต่างๆ โดยที่ประชาชน รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกัน ซึ่งจะไม่ใช่เงินให้เปล่า หรือทำในลักษณะ ลด แลก แจก แถม เหมือนในปีแรกที่รัฐบาลต้องออกตัว แต่ปีต่อไปที่ทำอะไรต้องอยู่บนโลกของความเป็นจริง เช่น กองทุนตั้งตัวที่กำลังเดินหน้าอยู่ในขณะนี้"
นายทนุศักดิ์ชี้แจงว่า แม้รัฐบาลจะเน้นนโยบายประชานิยม แต่ถือเป็นประชานิยมแบบสร้างสรรค์ อย่างการดำเนินนโยบายผ่านกองทุนต่างๆ เช่น การเพิ่มเงินให้กองทุนหมู่บ้านจาก 1 ล้านเป็น 2 ล้าน กองทุนสตรี จนมาถึงกองทุนตั้งตัว ล้วนไม่ใช่การแจกเงินฟรี และตัวกองทุนจะคงอยู่มีเงินทุนหมุนเวียนต่อไปโดยที่ไม่ได้ใช้เงินจากภาครัฐเพิ่ม อย่างเช่นกองทุนตั้งตัวก็จะดึงธนาคารกรุงไทยเข้ามาร่วมสมทบปล่อยเงินกู้ให้นักศึกษาจบใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจด้วยในอัตรา 50% จึงต้องมีการคัดเลือกโครงการที่เหมาะสม การพิจารณาสินเชื่อต้องค่อนข้างรัดกุม ทำให้มั่นใจว่าจะไม่กลายเป็นหนี้เสียในอนาคต และยังเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสให้เด็กไทยได้มีโอกาสเป็นเถ้าแก่น้อยได้มากขึ้น
สานต่อโครงการเดิมเพิ่มประสิทธิภาพ
นอกจากการดำเนินงานภายใต้หลักความเป็นจริงที่ต้องพิจารณาความจำเป็นความเหมาะสมและภาระงบประมาณของภาครัฐแล้ว ในปีต่อไปรัฐบาลก็ยังต้องสานต่อนโยบายเดิม แต่อาจมีการปรับปรุงแก้ปัญหาหรือติดตามความสำเร็จของโครงการเป็นระยะๆ ทั้งโครงการรถคันแรก การรับจำนำข้าว การพักหนี้ดีและบัตรเครดิตชาวนา
สำหรับโครงการรถคันแรกนั้น จนถึงวันนี้นายทนุศักดิ์ยืนยันว่า ประสบความสำเร็จอย่างดี มียอดขอคืนภาษีเข้ามาแล้วกว่าแสนคัน และจากข้อมูลของกรมขนส่งทางบกมีรถยนต์รอจดทะเบียนอีกกว่า 2 แสนคัน รวมแล้วน่าจะเกือบ 4 แสนคัน ที่เข้าข่ายได้สิทธิคืนภาษี และหลังจากรัฐบาลขยายสิทธิในส่วนของการส่งมอบรถออกไปไม่มีกำหนด ซึ่งอาจจะเป็นปี 2556 หรือปี 2557 แต่ยังต้องจองภายในสิ้นปีนี้ก็น่าจะทำให้มีจำนวนรถเข้าโครงการมากกว่า 5 แสนคัน และใช้เงินคืนภาษีมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท
"ถ้าโครงการประสบความสำเร็จด้วยดี รัฐพร้อมจะจ่ายเพิ่ม เพราะเป็นการทยอยจ่ายตามการถือครองครบ 1 ปี ไม่ได้ใช้เงินภายในปีเดียว ซึ่งการขยายสิทธิรับรถก็เพื่อเป็นการชดเชยในช่วงเวลาน้ำท่วมปลายปีก่อนที่อาจทำให้บริษัทรถยนต์ส่งมอบไม่ทันปีนี้ โดยยืนยันว่า หลังจากนี้จะไม่มีการขยายเวลาการจองรถออกไปอีกอย่างแน่นอน"
นายทนุศักดิ์กล่าวถึงโครงการพักหนี้ส่วนของลูกหนี้ที่ดีด้วยว่า ขณะนี้อาจจะมีปัญหาอยู่บ้างในส่วนของธนาคารออมสินที่มีลูกหนี้มาแสดงความจำนงเข้าโครงการน้อยจากผู้มีสิทธิ 3.8 แสนกว่าราย แต่มียื่นขอเข้าโครงการประมาณหมื่นกว่ารายเท่านั้น จึงเกรงว่าหลังปิดโครงการจะไม่สามารถเดินไปสู่เป้าหมายได้เหมือนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มีลูกค้าเป้าหมาย 2.7 ล้านราย และเข้าโครงการแล้ว 2.1 ล้านราย ซึ่งที่เหลือเชื่อว่าน่าจะเข้าโครงการทั้งหมด
ทั้งนี้ จากการประชุมของผู้บริหารกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน มีแนวคิดว่า การพักหนี้มี 2 แนวทางคือ พักเงินต้นและลดดอกเบี้ยกับไม่พักเงินต้นแต่ลดดอกเบี้ย ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือลูกหนี้ทุกราย หากไม่เลือกพักเงินต้นก็ควรให้สิทธิได้รับดอกเบี้ยอัตโนมัติทุกราย โดยขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังดูในแง่ระเบียบกฎเกณฑ์และมติครม.ก่อนหน้านี้ว่า หากปรับเปลี่ยนแล้วจะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้จะมีการหารือกันอีกครั้งในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ หลังปิดโครงการ
เชื่อไม่สร้างหนี้เสียให้แบงก์รัฐเพิ่ม
"มั่นใจว่าการพักหนี้ให้ลูกหนี้ที่ดีรวมแล้วเกือบ 3 ล้านคนนี้ ไม่น่าจะทำให้เกิดหนี้เสียของแบงก์รัฐมากขึ้น เพราะในปี 2544-2545 ที่รัฐบาลเคยพักหนี้ให้เกษตรกรก็มีหนี้เสียเพียงแค่ 1% เท่านั้น ทั้งที่ตอนนั้นเราไม่พร้อมทำโครงการ แต่ตอนนี้เรามีความพร้อม มีประสบการณ์ จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดความเสียหาย เพราะไม่ได้เป็นการพักหนี้เฉยๆ แต่มีการฝึกอบรม สอนทำบัญชี ฝึกอาชีพ ติดตามอย่างใกล้ชิด อีกทั้งคนต่างจังหวัด ชาวนาชาวไร่ส่วนใหญ่มีวินัยทางการเงินค่อนข้างดี"
นอกจากนี้ ในส่วนของบัตรเครดิตชาวนาก็ต้องเดินหน้าต่อไปและต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น รวมถึงขยายบัตรให้ครอบคลุมไปสู่กลุ่มอื่นมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ได้ผลักดันการใช้บัตรสินเชื่อเกษตรกรให้สามารถรูดซื้อสินค้าจำเป็น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช และขยายไปสู่น้ำมันได้ โดยเกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากการปลอดดอกเบี้ยนานถึง 5 เดือน ขณะนี้ธ.ก.ส.อยู่ระหว่างเร่งแจกจ่ายบัตรให้ถึงมือชาวนาจำนวน 2 ล้านใบ ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ และหลังจากนั้นจะขยายไปสู่มือของเกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดอื่นต่อไป โดย ธ.ก.ส.ประเมินว่า หากทำเต็มที่จะมียอดของบัตรรวมทั้งสิ้น 4 ล้านใบ
ส่วนของกลุ่มอื่นทราบมาว่า ธนาคารออมสินก็พร้อมทำบัตรเครดิตเจาะกลุ่มคนมีรายได้น้อยหรือไม่ได้มีรายได้ประจำในเร็วๆ นี้ ถือเป็นนโยบายที่ดีมาเสริมต่อสวนนี้ได้ เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับประโยชน์ โดยยืนยันว่านโยบายของรัฐบาลไม่ได้ส่งเสริมให้ประชาชนเป็นหนี้เพิ่มขึ้น เพราะจะมีการควบคุมและจำกัดการใช้วงเงิน
............................................................
(ก้าวที่สองรัฐบาล'ยิ่งลักษณ์' ลดประชานิยม-เดินนโยบายบนโลกความจริง : คอลัมน์สัมภาษณ์พิเศษ : โดย...ณัฐฎ์ชิตา เกิดแดง)