ข่าว

นัยของการเปิดเผยข้อมูลเรื่องการหนีทหาร

นัยของการเปิดเผยข้อมูลเรื่องการหนีทหาร

31 ก.ค. 2555

นัยของการเปิดเผยข้อมูลเรื่องการหนีทหารที่มีต่อกระบวนการจรรโลงประชาธิปไตย : ประชาธิปไตยที่รัก โดยพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ([email protected])

               นัยของการออกมาแถลงข่าวเรื่องข้อกล่าวหาเรื่องการหนีทหารของคุณอภิสิทธิ์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว มีนัยสำคัญหลายประการ
 
               ประการที่หนึ่ง เรื่องนี้ก็ยัง "ไม่ติดตลาด" อยู่ดี และยังสามารถทำให้ คุณอภิสิทธิ์ (และคุณศิริโชค) สามารถอยู่รอดภายใต้การนำเสนอข่าวดังกล่าวในเชิงคู่ขัดแย้ง
 
               ไม่ว่าข่าวนั้นจะเป็นการนำเสนอโดยกองบรรณาธิการข่าว หรือจากความสามารถของฝ่ายที่ถูกกล่าวหาที่ทำให้กลายเป็นเรื่องเช่นนั้น
 
               ไม่ว่าจะเป็นการเอาภาพลักษณ์ระหว่างคุณอภิสิทธิ์ กับ คุณจตุพร มาสู้กัน ว่าคนละราคา
 
               หรือแม้กระทั่งการเอาภาพลักษณ์ระหว่างคุณอภิสิทธิ์ มาปะทะกับตัวรัฐมนตรีกลาโหมเอง
 
               ผมไม่แน่ใจว่าสื่อมวลชนอ่านไม่ออกหรือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องข้อกล่าวหาที่ว่าด้วยเรื่องของการรับใช้ชาติในฐานะเป็นพลเมือง กับ กองทัพ/กระทรวงกลาโหม
 
               ผมพบข้อสรุปในทางที่หนึ่งว่า คุณอภิสิทธิ์นั้นไม่สะเทือน และ "หุ้นไม่ตก" เอาซะเลย ตราบเท่าที่ลักษณะการนำเสนอ-แก้ต่างยังเป็นแบบนี้
 
               ไม่ใช่เพราะคุณอภิสิทธิ์ผิดหรือไม่ผิด แต่เพราะสื่อไม่ต้องการอธิบายว่าผิดหรือไม่ผิด แต่ไปสนใจว่าความขัดแย้งนี้เป็นเรื่องของใครกับใครมากกว่าว่าใครผิดกันแน่
 
               แต่ที่แน่กว่านั้นก็คือ การหันไปเล่นข่าวการย้ายสังกัดจากทหารเป็นตำรวจของลูกคุณเฉลิมดีกว่า
 
               ประการที่สอง แม้ว่าเรื่องของการทุบหุ้นคุณอภิสิทธิ์ในครั้งนี้จะดูไม่เป็นที่สนใจของสื่อ (พิสูจน์ได้ง่ายกว่าที่อธิบายข้างต้นเสียอีก  ในแง่ที่ว่า ไม่มีใครพยายามอธิบายเรื่องนี้อย่างง่ายๆ แม้กระทั่งให้เป็นไปตามจดหมายของกระทรวงกลาโหมเอง ที่มีการทำตารางที่ชัดเจน) แต่อย่าได้มองข้ามปรากฏการณ์แรงสะเทือนระยะยาว
 
               ที่มีต่อความเคลื่อนไหวของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมในครั้งนี้
 
               เพราะนี้คือหน้าต่างแห่งโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสำคัญในกองทัพในช่วงของการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยที่สำคัญ
 
               เพราะสิ่งที่เราเรียกว่าเอกภาพของกองทัพในบางรูปลักษณะก็อาจไม่ได้เป็นคุณต่อประชาธิปไตยสักเท่าไหร่
 
               และมองให้ลึกกว่านั้น เอกภาพของกองทัพนั้นไม่ได้หมายถึงแค่ความเหมือนกัน แต่อาจหมายถึงความเชื่อมโยงของหน่วยต่างๆ ทั้งในและนอกกองทัพเข้าไปด้วย
 
               และเราพบว่าประชาธิปไตยที่ผ่านมานั้น อาจจะเกิดได้ทั้งจากการที่กองทัพนั้นมีเอกภาพในการถอย หรือ/และ มีความแตกแยกในกองทัพในลักษณะของแรงตึงเครียดที่เพียงพอ ที่ทำให้ฝ่ายที่ต้องการยุ่งเกี่ยวทางการเมืองแบบที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยไม่กล้าเคลื่อนไหว
 
               ดังนั้นจากช่วงที่หลายปีนี้ ที่กองทัพดูเป็นเอกภาพมากเสียจนมองทะลุไปอีกสิบกว่าปีว่า จะอยู่ที่ไหนในการวางตัวผู้บัญชาการทหารบก และมีลักษณะของความเชื่อมโยงระหว่างกองทัพกับสถาบันนอกกองทัพ ที่หมายถึงผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ (ตามที่พูดถึงและเข้าใจกันอย่างคลุมเครือว่า หมายถึงตัว "ป๋า" ในฐานะองคมนตรี ซึ่งสถาบันองคมนตรีก็เกี่ยวโยงกับการเป็นผู้ถวายความเห็นในการแต่งตั้งข้าราชการ)
 
               มาวันนี้เราเริ่มเห็นบทบาทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะว่าไปแล้วจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างเอกภาพ หรือความไม่มีเอกภาพของกองทัพด้วย ไม่ใช่มีแต่ผู้บัญชาการทหารบก และป๋า
 
               หน้าต่างแห่งโอกาสนี้น่าจะก่อให้เกิดความไม่เป็นเอกภาพที่เป็นผลบวกต่อการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย เพราะน่าจะทำให้ทหารสามารถที่จะมีความเห็นที่แตกต่างกันไปได้ และทำให้เริ่มเห็นว่าเมื่อพูดถึงการบังคับบัญชา/การมีอิทธิพลของหลายหน่วยงาน-สถาบันในกองทัพ (พูดง่ายๆ ว่าใครเป็นนายของใคร และอำนาจ-ที่มาของอำนาจของใครมาจากไหนกันบ้าง)
 
               ดังนั้นสิ่งที่รัฐมนตรีกลาโหมพูดว่า การกระทำของตนไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองนั้น จึงอาจเป็นเรื่องของการบริหารราชการที่มีผลกระทบต่อการเมืองมากกว่าการเป็นเรื่องการเมืองเฉยๆ เสียอีก