ข่าว

ผู้ส่งออกข้าวกระทุ้งรัฐทบทวนนโยบาย

ผู้ส่งออกข้าวกระทุ้งรัฐทบทวนนโยบาย

30 ก.ค. 2555

'ถึงเวลายอมรับความจริง-ยอมเจ็บตัว' ส.ผู้ส่งออกข้าวไทยกระทุ้งรัฐทบทวนนโยบาย : สัมภาษณ์พิเศษ : โดย ... อนัญชนา สาระคู

          เข้มข้นมากขึ้นทุกขณะกับผลกระทบหรือความเสียหายที่เกิดจากนโยบายการรับจำนำ “ข้าว” ซึ่งแน่นอนว่าในมุมของรัฐบาลจะมองเห็นผลสำเร็จในการดึงระดับราคาข้าวให้สูงขึ้น แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมายก็ตาม แต่กลับมองไม่เห็นถึงผลกระทบด้านอื่นๆ ทั้งการทุจริตที่หลายฝ่ายเชื่อว่าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง และการที่ประเทศไทยกำลังจะสูญเสียตลาดข้าวสำคัญๆ ให้ประเทศคู่แข่งอย่าง อินเดีย และเวียดนาม 

 

          ล่าสุด สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์อุตสาหกรรมข้าวของไทยในปัจจุบันที่กำลังก้าวเดินไปสู่หายนะ หลังรัฐบาลดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวมานานกว่า 10 เดือน น.ส.กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และหญิงแกร่งหนึ่งเดียวในสมาคม ให้สัมภาษณ์ นสพ.คม ชัด ลึก โดยระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรยอมรับความจริงว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องเจ็บตัว กล้าทำก็ต้องกล้ารับ แต่เมื่อผิดพลาดไปก็แก้ไขใหม่ได้

 

ชี้รับจำนำปัญหาตามมาเพียบ

 

          น.ส.กอบสุข กล่าวว่า มองเรื่องนี้ใน 2 สถานภาพ สถานภาพแรกคือ ในฐานะนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย มีความหนักใจเพราะสมาชิกมีความเดือดร้อนกันมาก ไม่มีธุรกิจจะทำ เพราะราคาข้าวของไทยไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ สังคมอาจมองว่าเรามาเรียกร้องให้แก่ผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เราทำหน้าที่ในฐานะอุตสาหกรรมที่เราทำมา 40-50 ปี และเป็นที่ 1 อยู่นั้นกำลังถูกทำลายลงหรือถูกทำให้พิกลพิการด้วยนโยบายของภาครัฐที่เราไม่เห็นด้วย 

          ส่วนอีกฐานะคือ การเป็นประชาชนคนเสียภาษี แต่บังเอิญรู้ดีในเรื่องอุตสาหกรรมนี้ มองว่าเราไม่เป็นเบอร์ 1 ก็ได้ แต่มองนโยบายที่รัฐบาลทำไปนี้เพื่ออะไร ประโยชน์ของใคร ส่วนรวมแล้วดีหรือไม่ หากมองว่านโยบายจำนำข้าวทำเพื่อประโยชน์ของชาวนา เราคงไม่มาบอกอีกแล้วว่า นโยบายไหนจะดีกว่ากันระหว่างประกันราคาหรือจำนำ เพราะเราบอกมาแต่ต้นแล้วว่า การจำนำนั้น คนที่ได้ประโยชน์มีจำนวนน้อยกว่าโครงการประกัน กรณีที่มีการนำจำนวนชาวนาที่เข้าโครงการนาปี และนาปรังมารวมกันเป็น 2 ล้านรายนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะอย่าลืมว่านาปีและนาปรังชาวนาก็เป็นคนคนเดียวกัน 

          นอกจากปัญหาเรื่องงบประมาณที่ใช้ในโครงการจำนำ ซึ่งรัฐบาลเปิดรับจำนำข้าวทุกเม็ดแล้ว ปัญหาถัดไปคือ การทำโครงการที่ไม่ครบวงจร เพื่อให้สามารถเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้ ซึ่งปัญหาที่เกิดคือ ทำไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง คือรับซื้อข้าวจากชาวนา และโรงสีแปรสภาพข้าวแล้วก็จบ ไม่มีอะไรต่ออีก ซึ่งเริ่มต้น รัฐบาลบอกว่า หากผู้ส่งออกไม่ขายรัฐบาลจะขายเอง แต่เวลานี้ก็ผ่านมา 10 เดือนแล้ว ก็ยังไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ที่บอกว่าระบายมาตลอดก็ยังไม่มีปรากฏเป็นตัวเลขออกมา ส่วนการขายแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลหรือจีทูจีก็ยังไม่เกิดผลออกมาเช่นกัน จึงอนุมานได้ว่า เรื่องนี้ไม่หมู เพราะยังไงเสียผู้ซื้อก็คือผู้ซื้อ ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อรัฐบาลหรือผู้ซื้อเอกชน เขาก็ไม่หมูทั้งนั้น เพราะเงินเป็นของเขา เขาต้องเลือกที่ดีที่สุด ถูกที่สุด ซึ่งก็เหมือนกับทุกคนที่ใช้เหตุผลในการซื้อของ 

          “พอมาถึงจุดนี้เราก็เห็นแล้วว่า สิ่งที่เราคิดว่าจะเกิด ก็ได้เกิดอย่างนั้นจริง แต่ไม่ได้ดีใจว่า สิ่งที่คิดเป็นจริงขึ้นมา กลับเสียใจด้วยซ้ำที่มันเป็นไปตามนั้น และสถานการณ์ของไทยในตอนนี้ ผู้ค้า หรือ เทรดเดอร์ข้าวในต่างประเทศ เขาเรียกเราว่า เป็น “เพอร์เฟกต์สตอร์ม" (Perfect Storm) ก็เรียกง่ายๆ ว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัด หรือซวยในทุกเรื่อง คือคนปลูกข้าวเยอะขึ้น แต่ในตลาดโลกราคาตก จนในที่สุดก็เดี้ยงไปทุกทาง”

 

รัฐไม่ฟังเสียง-ผู้ส่งออกรายเล็กอ่วม

 

          เพราะฉะนั้นเลยมองว่า นโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมากว่า 10 เดือน รัฐบาลน่าจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวเลขต่างๆ ที่ออกมาแสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่แรงขนาดนี้แล้ว รัฐบาลน่าจะเห็นแล้วว่าเป็นปัญหาอย่างมาก ส่วนตนเป็นคนที่ไม่ชอบฟื้นฝอยของเก่า แต่ถามว่า ณ วันนี้จะทำอย่างไร ไม่ได้อยากขอความช่วยเหลืออะไร แต่ขอให้ดูอย่างหนึ่งว่า รัฐบาลอยากให้เราเข้าไปรับใช้ หรือจับเข่าคุยกันเราก็ยินดี แต่ที่ผ่านมาเมื่อปรึกษากันแล้วไปไม่ถึงไหน หรือปรึกษาแล้วไม่สมพงศ์กัน ก็เพราะว่าความคาดหวังของรัฐบาลกับความคาดหวังของเรา ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงนั้นไม่สอดคล้องกัน 

          “เราพูดในข้อเท็จจริง แต่รัฐบาลมักจะไปฟังความคิดเห็นจากคนอื่น ซึ่งเป็นคนนอกวงการ อีกส่วนเป็นคนที่อยู่ในวงการก็จริงแต่ไม่ใช่ผู้ส่งออก นี่จึงเป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่ง คือไปฟังที่ปรึกษาที่ไม่เอาความจริงมาพูด ขณะที่เราพูดความจริง รัฐบาลกลับไม่พอใจ เพราะไม่เชื่อคิดว่าเราจะไปหลอก ซึ่งก็บอกตรงๆ เลยว่า เราไม่มีความคิดอย่างนี้ ในฐานะประชาชน เรารู้ว่ารัฐบาลบอกมาหลายครั้งแล้วว่า นี่เป็นธง ซึ่งธงนี้ไม่ดีกับเรา แต่เราพยายามที่จะทำให้ความเสียหายมันน้อยที่สุด แต่เขาไม่ฟัง การจะคุยกันก็ต้องมาปรับความคาดหวังในตรงกันได้หรือยังว่าความจริงของโลกคืออะไร 

          โดยรัฐบาลต้องยอมรับก่อนว่า ตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ตลาดโลกมันกว้างใหญ่ไพศาล และตลาดโลกนี่แหละที่เป็นมือที่มองไม่เห็นตัวจริง แต่ในรัฐบาลบางคนก็มีความคิดแม้กระทั่งว่าข่าวที่มาจากต่างประเทศก็เป็นข่าวที่เขาเต้าขึ้นมาเอง แค่นี้เราก็กลุ้มใจตายแล้ว เพราะสุดท้ายก็มาเสียที่เราซึ่งเป็นกลุ่มผู้ส่งออกที่เละที่จะพังก่อน” 

          อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลยังคงยืนยันนโยบายเดิม ไม่คุยกับเราก็ไม่แปลกใจ ซึ่งทางสมาคมคงไม่มีอะไรเสนอแล้ว คงได้แต่ทำธุรกิจต่อไปเท่าที่ทำได้ หรือการที่รัฐบาลยังคงนโยบายแบบเดิมต่อไป กรณีบริษัทขนาดกลางและใหญ่คงทนไปได้อีก 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีสายป่านยาวขนาดไหน แต่คนที่มีสายป่ายสั้นๆ ก็อาจจะไปก่อน โรงสีขนาดเล็กที่ไม่สามารถร่วมโครงการจำนำได้ก็จะตายก่อน ผู้ส่งออกเล็กๆ ที่ทำการส่งออกข้าวอย่างเดียว เป็นกลุ่มเอสเอ็มอี ก็จะตายก่อน หากประสบกับภาวะขาดทุนนานเกิน 1 ปี อาจมีปัญหาถึงขึ้นปิดกิจการได้ ขณะที่คนที่มีสายป่านยาวก็พอจะปรับตัวได้ หรือมีธุรกิจอื่นรองรับ ก็อาจจะพักเรื่องนี้ไว้ก่อน หันไปทำธุรกิจอื่น แต่เมื่อมีโอกาสเมื่อไรก็กลับมา ซึ่งคนกลุ่มหลังนี้จะไม่ถึงกับตายจากไป เพราะผู้ส่งออกข้าวเรียกได้ว่าอึดพอสมควร 

          นอกจากนี้ การปรับตัวบางคนหันไปใช้ข้าวของประเทศเพื่อนบ้านในการส่งออกแทนก็เกิดขึ้นแล้ว รวมทั้งในระยะยาวยังมีโครงการที่จะย้ายฐานไปประเทศอื่นก็มีเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่จะไปสู่ชาวนาคงจะช้าสุด แต่จะเห็นผลกระทบในแง่ของการผลิตข้าวที่ไม่มีคุณภาพ เกษตรกรจะเลิกปลูกข้าวคุณภาพดี 

          นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวถึงนโยบายการจำนำข้าวด้วยว่า การจำนำครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนตรงที่ ครั้งนี้รัฐบาลประกาศรับจำนำข้าวทุกเม็ด ขณะที่ครั้งก่อนมีจำกัดปริมาณและใช้งบประมาณที่แน่นอน ทั้งงวดที่แล้วตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ดีไปหมด แต่ครั้งนี้อย่างที่บอกว่าเป็นเพอเฟกต์สตอร์ม จะทำอะไรก็ไม่ดีซะทุกเรื่อง การที่เราพบกับรัฐบาลในครั้งแรกยังไม่คิดว่าสถานการณ์จะแย่ขนาดนี้ด้วยซ้ำ และเรายังบอกไปด้วยว่า ตลาดไม่ใช่ของตายที่นิ่งหรืออยู่เฉยๆ นะ ตลาดมันมีชีวิต ผันผวนตลอดเวลา ถ้าเราเป็นนักธุรกิจที่ดี เป็นรัฐบาลที่ดี การจะลงมามีบทบาทเองในเรื่องนี้ต้องคลุกวงในอย่างเวียดนาม ที่มองเห็นสถานการณ์ของไทยเป็นอย่างไร ส่วนอินเดียขายข้าวออกมาในราคาต่ำ เวียดนามจึงกดราคาขายข้าวของตัวเองลงมาแข่ง 

          ส่วนไทยจะทำอย่างนั้นได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็คือว่าสามารถเข้ามาเล่นในตลาดได้ แต่ในสภาพของรัฐบาลเองทำไม่ได้ ดังนั้น ตลาดที่รัฐบาลอยากจะควบคุม แต่ไม่สามารถมีรีแอ็กชั่นในตลาดได้เร็วอย่างเอกชน ก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัว

 

จี้รัฐระบายสต็อกข้าวต้องโปร่งใส 

 

          สำหรับแนวทางการระบายข้าวในสต็อกของรัฐ ซึ่งรัฐบาลใช้แนวทางการระบายแบบลับนั้น แน่นอนว่าเราอยากเห็นการประมูลที่มีความโปร่งใส หรือเปิดให้มีการประมูลเป็นการทั่วไป มีผู้เข้าร่วมประมูลเป็นจำนวนมาก เพราะเราเชื่อว่าตลาดแข่งขันเสรีจะมีประโยชน์ต่อทุกคน ไม่ทำให้เกิดภาวะได้เปรียบเสียเปรียบกัน ในเวลาเดียวกัน ถ้าเราเชื่อว่าตลาดเสรีให้ประโยชน์แก่ทุกคนแล้ว คนทำงานก็จะง่ายขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เคยได้คุยกับรัฐบาลมาหลายครั้ง แต่เขาก็มีเหตุผลของเขา เขาสามารถเลือกได้ว่าจะเปิดเผยหรือปิดเป็นความลับ ตามอำนาจที่ได้รับมอบหมายมา จึงจะไม่พูดในเรื่องนี้ซ้ำกันอีก 

          อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้ส่งออกเอง เราไม่ได้ยึดติดในเรื่องราคาว่าจะต้องสูงหรือต่ำ เพราะเราทำไปตามตลาด ในสภาพปัจจุบันหากประมูลในทางลับ ขณะที่ความคาดหวังของรัฐบาลยังสวนทางกับเรา ใครที่ได้ข้าวในสต็อกรัฐไปก็ไม่ได้ประโยชน์เต็มที่ในภาวะที่ตลาดขาลง ซึ่งหมายความว่าคนที่ได้ข้าวไปก็ใช่ว่าจะได้รับประโยชน์ 

          แนวโน้มราคาข้าวในตลาดโลกบนพื้นฐานข้อมูลที่เรามีอยู่นั้น พบว่ายังไม่ถึงเวลาที่ราคาข้าวจะปรับขึ้นไปราคาสูงได้ เพราะสต็อกข้าวของแต่ละประเทศขณะนี้มีจำนวนมาก ส่วนการที่ไทยมีข้าวในสต็อก 10-11 ล้านตันนั้น คนอื่นเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย เขาก็ยังซื้อขายกันตามปกติไม่เดือดร้อนกับการที่เราเก็บข้าวไว้ เพราะข้าวยังไม่ขาดตลาด เราควรต้องดูปฏิกิริยาของโลกด้วย เพราะคนอื่นเขามีสต็อกที่อยากจะขายอยู่อีกมาก ทั้งยังไม่มีปัจจัยใดจะส่งผลให้ราคาข้าวปรับขึ้นได้ ดังนั้น ราคาข้าวที่เหมาะสมในปัจจุบันจึงอยู่ในระดับที่เฉลี่ยประมาณ 400 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และไม่ต่ำกว่าระดับนี้แล้ว เพราะถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผลกับต้นทุนเฉลี่ย 

          อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวที่จะปรับสูงขึ้นไปได้ จะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เหตุภัยพิบัติ โดยเฉพาะในอินเดียที่จะส่งผลดีต่อไทย ส่วนผลจากการปั่นราคาข้าวอาจจะมีผลทางจิตวิทยาไม่มาก เพราะข้าวจะต่างจากสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่นๆ ที่ว่าข้าวซื้อขายและมีการส่งมอบจริง ต่างจากน้ำมัน หรือข้าวสาลี ที่ซื้อขายกันแค่กระดาษ 

 

          “เชื่อว่ารัฐบาลขณะนี้ปวดหัวพอสมควร แต่เขาเก็บอาการไว้ ไม่อยากยอมรับ ก็ปล่อยเขา และเราเป็นผู้ดู แต่ก็ยังเปิดใจว่า ยินดีว่าจะเรียกเราไปเมื่อไรก็ได้ เมื่อสถานการณ์เดินไปถึงทางตันเราก็ยินดีไปให้คำปรึกษา แต่ยืนยันว่า ตัวเลขที่เรานำมาใช้นั้น มาจากสำนักข่าวต่างประเทศ กระทรวงเกษตรสหรัฐ หรือข้อมูลตัวเลขของอินเดีย ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่เราได้มาจากหลายแหล่ง นำมาประมวล วิเคราะห์ เป็นตัวเลขที่เขาใช้กันทั่วโลก และใช้กันมานานกว่า 10 ปีแล้ว จึงมีความน่าเชื่อถือแน่นอน” น.ส.กอบสุข กล่าว

 

 

--------------------

('ถึงเวลายอมรับความจริง-ยอมเจ็บตัว' ส.ผู้ส่งออกข้าวไทยกระทุ้งรัฐทบทวนนโยบาย : สัมภาษณ์พิเศษ : โดย ... อนัญชนา สาระคู)