ข่าว

เอกชนเชื่อ'เต็งเส่ง'เยือนไทยศก.ดีขึ้น

เอกชนเชื่อ'เต็งเส่ง'เยือนไทยศก.ดีขึ้น

22 ก.ค. 2555

องค์กรเอกชน ประสานเสียง "เต็งเส่ง" เยือนไทย ส่งผลดีต่อการค้า การลงทุน คาดจะทำให้นักธุรกิจ และนักลงทุนจากไทยเข้าไปทำธุรกิจในพม่าง่ายขึ้น ขณะที่ผู้ว่ากาญจน์ขานรับ 'เต็งเส่ง' เยือนไทย เชื่อสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งขึ้น

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 55  นางนฤมล ขรภูมิ ประธานหอการค้าจังหวัดระนอง เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของประธานธิบดีเต็งเส่ง ของพม่า คาดว่าจะส่งผลดีต่อการค้า การลงทุนของไทยเป็นอย่างมาก และจะทำให้นักธุรกิจจากไทยสามารถเข้าไปดำเนินการทำธุรกิจในประเทศพม่าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้จะส่งผลดีต่อแผนการเชื่อมโยงท่าระนองกับท่าเรือทวายของพม่าที่ทางพม่าให้ประเทศไทยเข้าไปพัฒนา ซึ่งจะเป็นท่าเรือสำคัญของภูมิภาคในอนาคต โดยทางจังหวัดคาดหวังว่าผลจากการเกิดขึ้นของท่าเรือทวายจะส่งผลดีต่อท่าเรือระนองที่จะเข้าไปเชื่อมโยงเส้นทางการขนส่งสินค้าเพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ 

          แผนการผลักดันท่าเรือระนองสู่เมืองท่า หรือศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้าฝั่งอันดามันตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดระนอง และยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนบนก็ยังคงดำเนินการต่อไป แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับความเป็นจริงเรื่องโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ยังไม่พร้อม และยังไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะให้บริษัทเดินเรือเข้ามาใช้บริการได้ แต่ก็มีหลายจุดที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้เช่นกันเพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร อาทิที่ทาง กทท.กำลังดำเนินการ และมีความเป็นไปได้มากที่สุด นั่นคือการร่วมเป็นท่าเรือพี่ท่าเรือน้องกับท่าเรือจิตตะกอง ซึ่งเป็นท่าเรือหลักของประเทศบังกลาเทศ ซึ่งตั้งอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำ Karnaphuli ซึ่งการดำเนินการมีความคืบหน้าไปมากมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล 

          รวมถึงการจัดสัมมนาที่ล่าสุดที่ตนเข้าร่วมคือการสัมมนาเรื่อง Port’s Facilities, Utilities and Linkages ( Ranong Port and Chittagong Port ) : Ways to Enhance Trading between Thailand-Bangladesh ที่กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งได้รับความสนใจทั้งจากภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และรัฐบาลของบังกลาเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดว่าในอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่ 2 ท่าเรือจะมีการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งสินค้าทางทะเลเชื่อมระหว่างกัน รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการเชื่อมโยง 4 ท่าเรือเข้าด้วยกันประกอบด้วยท่าเรือระนอง-ท่าเรือย่างกุ้ง-ท่าเรือจิตตะกอง-ท่าเรือทวาย ซึ่งหากเป็นไปได้จะมีจุดคุ้มทุนที่สูงกว่าในการที่จะดึงดูดให้บริษัทเดินเรือเข้ามาใช้บริการ ซึ่งทางบังกลาเทศขันอาสาที่จะเป็นตัวกลางในการดำเนินการในเรื่องนี้ ส่วนในอนาคตหากมีระบบรางเข้ามา ย่อมส่งผลดีอย่างแน่นอน

          นางนฤมล กล่าวต่อว่าอีกโครงการที่ทาง 4 องค์กรภาคเอกชนจังหวัดระนองประกอบด้วยหอการค้าจังหวัดระนอง,สภาอุตสาหกรรมจังหวัดระนอง,สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดระนอง และสมาคมประมงจังหวัดระนอง ได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดขึ้นในแนวพื้นที่ชายแดนไทย-พม่าด้าน จ.ระนอง-เกาะสองเพื่อรองรับแผนการเปิดประเทศของพม่าและรับการก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนคือการผลักดันให้จังหวัดระนองเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเช่นเดียวกับ อ.แม่สอด จ.ตาก ทั้งนี้พบว่าผลจากการที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 จำเป็นจะต้องเร่งสร้างความพร้อมและลดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของการค้า การลงทุนลง อีกทั้งพื้นที่ จ.ระนองคาดว่าในอนาคตจะเป็นช่องทางเข้า -ออกที่สำคัญจากไทยไปพม่าและจากพม่าเข้ามายังประเทศไทยอันเป็นผลจากนโยบายที่พม่าเตรียมที่จะเปิดประเทศและกำลังพัฒนาพื้นที่ทางตอนใต้ให้เป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญล่าสุดยังได้มีการเร่งปรับปรุงท่าอากาศยาน จ.เกาะสองให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติ เพื่อรองรับการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนของพม่า ซึ่งในส่วนของประเทศไทยก็ต้องเร่งสร้างความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

          ส่วนอีกโครงการที่กำลังเร่งผลักดันเพื่อรองรับการขยายตัวของการค้าชายแดนที่คาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวหลังปี 2558 คือการจัดตั้งเขตค้าขายพิเศษ (ฟรีโซน) หรือตลาดนัดการค้า ในรูปแบบตลาดนัดโรงเกลือ ขึ้นบริเวณชายแดนด้านจ.ระนอง-เกาะสอง ซึ่งขณะนี้หลายฝ่ายเห็นชอบให้มีการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือข้างประภาคาร ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ ด่านศุลกากรระนอง ตั้งอยู่พื้นที่ ม. 5 ต.ปากน้ำ อ.เมืองระนอง ซึ่งทางจังหวัดมีแผนที่จะผลักดันให้บริเวณดังกล่าวเป็นท่าเรือเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการค้าขายตามแนวชายแดนด้านจ.ระนอง-เกาะสอง ในแต่ละปีมีมูลค่าการค้าทั้งนำเข้าส่งออกกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งยังเป็นการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งทางภาคเอกชนมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงการค้า การลงทุนทั้งสองประเทศได้อีกด้วย

          นางนฤมลกล่าวต่อว่าทางหอการค้าผลักดันโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2551 ภายใต้ชื่อโครงการจัดการตลาดเสริมสร้างธุรกิจการท่องเที่ยว จ.ระนอง ซึ่งจนถึงขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วในระดับหนึ่ง ทั้งศุลกากรเจ้าของพื้นที่รวมทั้งทางจังหวัดระนองต่างเห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว ยังติดขัดเฉพาะฝั่งประเทศพม่า โดยในส่วนของภาคเอกชนพม่าไม่ขัดข้อง ยังติดขัดเฉพาะการอนุญาตจากรัฐบาลกลาง ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-พม่า ด้านจ.ระนอง-เกาะสองในครั้งหน้า ทางภาคเอกชนจ.ระนองจะนำเรื่องนี้เข้าไปเสนอและขอให้คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นของพม่าช่วยผลักดันเรื่องนี้ต่อไป

 

ผู้ว่ากาญจน์ขานรับ 'เต็งเส่ง' เยือนไทย เชื่อสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งขึ้น

 

           นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ได้เปิดเผยเกี่ยวกับการโครงการทวายโปรเจกต์ ว่า การที่ได้ทราบข่าวการเดินทางเยือนประเทศไทยของ พลเอก เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีสาธารณัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทั้งสองประเทศที่จะเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีต่อกันและกันให้แนบแน่นมากขึ้น และยิ่งเป็นเรื่องที่ดี ที่จะมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดในระดับทวิภาคี เกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างไทยและเมียนมาร์ 

           ซึ่งในส่วนนี้รวมถึงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย และการเชื่อมต่อเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างไทยกับเมียนมาร์ ที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วนี้ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่เป็นโครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา จีน พม่า ลาว เวียดนาม ไทย หรือ หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ด้วยการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวาย และพัฒนาถนนเชื่อมโยงระหว่างท่าเรือทวายมายังจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งคาดว่าหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้จังหวัดกาญจนบุรีเป็นเมืองหน้าด่านทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญด้านตะวันตก และสามารถลดระยะเวลาการขนส่งสินค้า ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ ส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก