
'HADR'กู้ภัยเอเชียหวั่นควันหลง'อู่ตะเภา'
'เอชเอดีอาร์'กู้ภัยเอเชีย หวั่น...ควันหลง'อู่ตะเภา' : ทีมข่าวรายงานพิเศษ
ในที่สุดสถานทูตสหรัฐได้ออกแถลงการณ์ยืนยันเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า "นาซา" มีมติให้หยุดงานวิจัยเมฆ หรือ โครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAC4RS) ปี 2555 ที่สนามบินอู่ตะเภาไว้ก่อน เนื่องจากคณะรัฐมนตรีไทยมีมติยื่นเวลาไปถึงประชุมรัฐสภาช่วงเดือนสิงหาคม พร้อมให้แจงเหตุผลว่า ไม่มีเวลาพอที่จะตระเตรียมเครื่องมือสำหรับสำรวจสภาพอากาศ !?!
พลาดไปแล้ว 1 แต่ยังเหลืออีก 1 โครงการที่จะมาอู่ตะเภาเช่นกัน คือ "ศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ" หรือ "ศูนย์เอชเอดีอาร์" (HADR : Humanitarian Assistance and Disaster Relief) ความเป็นมาของการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือฯ ระดับภูมิภาคนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2553 สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 3 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ว่า เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบภัยพิบัติร้ายแรงต่อเนื่อง เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว สึนามิ ฯลฯ ซึ่งไทยเป็นศูนย์กลางให้ความช่วยเหลือมาตลอด เพราะตั้งอยู่จุดศูนย์กลางของภูมิภาค ดังนั้นจึงอยากให้มีการจัดตั้ง "ศูนย์เอชเอดีอาร์" อย่างเป็นทางการให้มีการฝึกอบรมร่วมกันหลายฝ่ายเพื่อสร้างศักยภาพให้ไทยรับมือภัยพิบัติธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น เรื่องดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการหารือระหว่างทางการไทยและกระทรวงกลาโหมสหรัฐสหรัฐ ยังไม่มีข้อสรุป
หลังจากจีนรู้เรื่อง วันที่ 23 มิถุนายน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์หลังจาก "จิ้ง จื่อ หยวน" ผบ.กองบัญชาการทหารปืนใหญ่ที่ 2 พร้อมคณะเข้าพบหารือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างสองประเทศว่า จีนอยากขอจัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฯ เหมือนเอชเอดีอาร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน ซึ่งไทยก็เห็นด้วยที่จะมาช่วยกันหลายประเทศ
หลังจากกระแสคำขู่เรื่อง "ความมั่นคง" พ่นพิษ จนนาซาต้องยกเลิกโครงการวิจัย 900 ล้านบาทอย่างกะทันหันนั้น จนถึงวันนี้โครงการเอชเอดีอาร์ของกลาโหมสหรัฐและจีน คงต้องลุ้นต่อไปว่าจะผ่านหรือไม่ เนื่องจาก "สนามบินอู่ตะเภา" เปรียบเสมือนไข่แดงที่ไม่อยากให้ต่างชาติเข้ามาแตะต้อง
ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล หัวหน้าหน่วยศึกษาภัยพิบัติและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กล่าววิเคราะห์ให้ฟังว่า หลังจากเกิดภัยธรรมชาติน้ำท่วมใหญ่ในประเทศไทยปี 2554 จนสร้างความเสียหายไป 65 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตกว่า 800 คน ผู้คนเดือดร้อนกว่า 4 ล้านครัวเรือนนั้น ทำให้น้ำท่วมไทยขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อปีที่แล้ว หากย้อนไปดูระบบช่วยเหลือตอนนั้นจะพบการใช้อู่ตะเภาเป็นศูนย์กลางขนส่งอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้ในการบรรเทาสาธารณภัยอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีโครงการตั้งเป็นศูนย์ถาวร เพียงแต่ยังติดปัญหาเรื่องความมั่นคง
"อยากบอกว่าปัญหาภัยความมั่นคงในวันนี้ มันต่างจากเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างเทียบกันไม่ติด ด้วยปัจจัย 2 ข้อคือ 1.ฝ่ายซ้ายหรือประเทศคอมมิวนิสต์เช่น จีน เวียดนาม ที่อยู่รอบข้างไทยได้ปรับเปลี่ยนนโยบายด้านทหารหมดแล้ว หันมาเน้นสร้างพันธมิตรการค้ามากกว่า 2.การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่จำเป็นต้องส่งทหาร ส่งเรือ หรือส่งเครื่องบินมาถึงเอเชีย พวกเขาก็มีข้อมูลเชิงลึกของประเทศไทยอยู่แล้ว การตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยระดับภูมิภาคถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน เพราะภูมิอากาศโลกแปรปรวน ภัยธรรมชาติร้ายแรงขึ้นทุกปี"
นักวิชาการด้านภัยธรรมชาติข้างต้นกล่าวแนะนำต่อว่า หน่วยงานของรัฐต้องเข้าไปประสานศูนย์นี้ตั้งแต่ต้น เพื่อรับรู้ข้อมูลและกำหนดกติกาในการทำงานต่างๆ ร่วมกัน โดยเฉพาะการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัย ทำให้เกิดการฝึกฝนในระดับมืออาชีพ เพราะยังไม่รู้ว่าปี 2555 นี้ จะเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกหรือไม่ หากมีพายุใหญ่พัดถล่มเข้ามาหลายลูก อาจเกิดอุทกภัยขึ้นอีกครั้ง คงต้องรอช่วงเดือนตุลาคมจึงจะทราบผลพยากรณ์พายุที่ชัดเจน
ย้อนไปเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2554 สหรัฐอเมริกาส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน "ยูเอสเอส จอร์จ วอชิงตัน" และ "เรือยูเอสเอส คิดด์" เข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในประเทศไทยเป็นกรณีฉุกเฉิน มีการบรรทุกกระสอบทราย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มาด้วย พร้อมส่งเจ้าหน้าที่นาวิกโยธินสหรัฐเข้าร่วมประชุมกับกองทัพไทย แต่ผลปรากฏว่าจอดอยู่อู่ตะเภาได้ไม่กี่วัน ก็ต้องถอนสมอเรือออกไปโดยที่ยังไม่ได้ช่วยเหลืออะไรมากนัก เจ้าหน้าที่กลาโหมในกรุงวอชิงตันให้เหตุผลว่า เนื่องจากมีความสับสนในการประสานงานกับรัฐบาลและกองทัพไทย ไม่มีคำตอบและข้อมูลที่ชัดเจนว่าต้องการให้ช่วยอย่างไรบ้าง จึงจำเป็นต้องถอนเรือรบออกไปปฏิบัติภารกิจอื่น
ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์วิจัยภัยธรรมชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต นักวิชาการผู้คลุกคลีกับวิกฤติน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ตั้งข้อสังเกตว่า การเข้ามาตั้งศูนย์ช่วยเหลือขององค์กรระหว่างประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องดีที่ควรสนับสนุน แต่ประสบการณ์ที่เจอมาคือประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพหลักในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ เมื่อเกิดภัยธรรมชาติขนาดใหญ่
"ปัญหาใหญ่ของการมาตั้งศูนย์เอชเอดีอาร์ในไทย ไม่ใช่เรื่องพื้นที่อู่ตะเภา หรือความมั่นคง แต่คือปัญหาเรื่องหน่วยงานของประเทศไทย ต้องรีบจัดการหาเจ้าภาพให้เจอ จากนั้นค่อยประสานขอความร่วมมือระดับภูมิภาค และระดับโลกต่อไป หากรีบให้เข้ามาตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไร ฝรั่งหลายประเทศเข้ามาช่วย แต่สุดท้ายได้แต่เดินวนไปมา ไม่รู้จะติดต่อใครดี หรือไม่มีใครกล้าตัดสินใจว่าจะให้ช่วยตรงไหน อย่างไร ประสานงานกระทรวงหรือกรมไหนดี สุดท้ายพวกเขาก็ท้อใจถอนตัวกลับประเทศกันหมด" ดร.เสรีกล่าวเตือนทิ้งท้าย
............
(หมายเหตุ : 'เอชเอดีอาร์'กู้ภัยเอเชีย หวั่น...ควันหลง'อู่ตะเภา' : ทีมข่าวรายงานพิเศษ)