ข่าว

โดรนพิฆาต!ศาลเตี้ยมะกัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดรนพิฆาต : ศาลเตี้ยมะกัน ... คอลัมน์ เปิดโลกวันอาทิตย์ โดย ... อุไรวรรณ นอร์มา : เรียบเรียงจาก การ์เดี้ยน เอพี

          หลังจากจมปลักกับสงครามทะเลทรายและป่าเขาร้างแล้งในอิรักและอัฟกานิสถานมานานนับทศวรรษ ปัจจุบัน วิถีสงครามของสหรัฐอเมริกา เปลี่ยนรูปมาเป็นสงครามไฮเทคด้วยอาวุธหลักอย่าง ไวรัสคอมพิวเตอร์สกัดความก้าวหน้าโครงการวิจัยอาวุธนิวเคลียร์อิหร่าน กับการส่งเครื่องบินโจมตีไร้คนขับ(ยูเอวี หรือโดรน) ลอบสังหารผู้ต้องสงสัยเป็นสมุนอัลไกดาและตาลีบัน ที่รัฐบาลวอชิงตันเชื่อว่าช่วยขจัดภัยคุกคามก่อนที่ภัยนั้นจะมาถึงตัว โดยประหยัดทั้งเงินและไม่เสี่ยงส่งทหารไปตายหรือพิการกลับมา


 
          แต่การส่งโดรนด้วยการบังคับจากระยะไกลข้ามโลก ไปสังหารผู้คนในประเทศอื่น และหลายครั้งมีพลเรือนบาดเจ็บล้มตาย กำลังจุดคำถามมากมายถึงความรับผิดชอบของอภิมหาอำนาจ ความน่าเชื่อถือ และบรรทัดฐานระหว่างประเทศ เรื่องการใช้กำลังนอกดินแดนที่มิใช่การขัดกันด้วยอาวุธแบบเดิมๆ     

 
 
          ปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายด้วยโดรน เป็นกระบวนการตัดสินใจลับ รู้กันอยู่ไม่กี่คน 
 

          ทำเนียบขาวเพิ่งบอกสภาคองเกรสรับทราบเป็นครั้งแรก ผ่านรายงานว่าด้วยปฏิบัติการในต่างประเทศรายกลางปีในเดือนมิถุนายนว่า กองทัพสหรัฐกำลังโจมตีเป้าหมายผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน โซมาเลีย และเยเมน โดยมิได้เอ่ยว่าปฏิบัติการนั้น มีโดรน และสำนักข่าวกรองกลาง(ซีไอเอ) รวมอยู่ด้วย 
 
          แต่แล้วจู่ๆ สื่อยักษ์ใหญ่อย่างนิวยอร์ก ไทม์ส ก็ได้แหล่งข่าววงในแพร่งพรายข้อมูลจัดชั้นความลับให้อย่างละเอียดว่า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ลงมาเกี่ยวอย่างเต็มตัวและโดยตรง ในกระบวนการตัดสินใจว่า ใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไปของโดรนอเมริกัน ที่เรียกว่า "บัญชีสังหารลับ"
 
          กลายเป็นข้อกล่าวหาหลังจากนั้นว่า ทำเนียบขาวจงใจปล่อยข่าวนี้ออกมาเอง เพราะต้องการเสริมเครดิตด้านการรักษาความมั่นคงของชาติให้แก่นายโอบามา หวังเพิ่มคะแนนเสียงในปีเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ทั้งนายโอบามาและทำเนียบขาวปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว  เรื่องนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของรัฐสภาและสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ)
 
          นอกจากภาพความเด็ดขาดของผู้นำพญาอินทรีที่อยากให้เห็นแล้ว กลับเป็นการเผยอีกด้านว่า ประธานาธิบดีโอบามา ทำราวกับว่าการตั้งศาลเตี้ย เป็นเรื่องปกติธรรมดาและเป็นภารกิจประจำจากห้องทำงานรูปไข่ โดยใช้ความได้เปรียบเทคโนโลยีของโดรนทำสงครามหลบซ่อนในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน เยเมน และโซมาเลีย
 
          ประธานาธิบดีโอบามาประชุมทางโทรศัพท์หารือลับเป็นประจำทุกสัปดาห์ ที่เรียกว่า Terror Tuesdays กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลและฝ่ายข่าว เพื่อจัดทำบัญชีมรณะ

 
          ทั้งหมดนี้อยู่นอกการรับรู้ของสภาคองเกรส ศาล และสาธารณชน     

 
          สหรัฐถือว่าการส่งโดรนไปกำจัดศัตรู เป็นการป้องกันตัวเองและรักษาชีวิตชาวอเมริกัน และปฏิเสธการตรวจสอบทุกรูปแบบ ล่าสุดยังคงยืนยันไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อกฎหมายและกระบวนการคัดเลือกเป้าหมายสังหาร แก่สหภาพสิทธิพลเรือนอเมริกัน(เอซีแอลยู) ที่ยื่นฟ้องศาลภายใต้กฎหมายเสรีภาพข้อมูลข่าวสาร โดยซีไอเอยืนกรานว่าเป็นข้อมูลจัดชั้นความลับ  
 
          ขณะทีเอซีแอลยู โต้ว่าเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระสิ้นดี สงครามโดรน เป็นความลับที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลนำมาโอ้อวดกับผู้สื่อข่าวเป็นระยะ ทั้งยืนยันว่า ถูกกฎหมายและไม่ทำให้พลเรือนต้องบาดเจ็บล้มตาย    
 
          วารสาร ลอง วอร์ สื่อออนไลน์ที่ติดตามปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้ายสหรัฐ ระบุว่า สหรัฐภายใต้โอบามาส่งโดรนยิงขีปนาวุธโจมตีเป้าหมายในปากีสถานประเทศเดียว 254 ครั้ง เทียบกับสมัยจอร์จ ดับเบิลยู บุช แค่ 47 ครั้ง และมีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เป็นการสังหารชาวอเมริกันด้วยกันเอง นั่นคือ นายอันวาร์ อัล ออว์ลาคี ผู้นำอัลไกดาในเยเมน เสียชีวิตเมื่อกันยายนปีที่แล้ว
 
          สหรัฐเพิ่มการส่งโดรนโจมตีจนนักวิจารณ์เริ่มสงสัยว่า รัฐบาลโอบามา รับรองนโยบาย ฆ่าอย่างเดียวไม่จับ มาใช้อย่างเป็นทางการแล้ว ขณะที่นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานเช่นกันว่าประธานาธิบดีโอบามา ไม่ต้องการมีนักโทษเพิ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะกระอักกระอ่วนแบบการขังนักโทษกวนตานาโม 

       

ขัดรัฐธรรมนูญ?


          การประกาศสงครามเป็นความรับผิดชอบตามรัฐธรรมนูญของสภาคองเกรส บนเจตนารมณ์เพื่อป้องกันประธานาธิบดีไล่กำจัดศัตรูทั่วโลกโดยอาศัยอำนาจของตนในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด นายโอบามาจึงกำลังถูกตั้งคำถามว่า การสั่งการสังหารชาวต่างชาติในประเทศอธิปไตยอื่นโดยที่สภาคองเกรสมิได้ประกาศสงคราม ถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่
 
          ทั้งยังลืมคำสัญญาเมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยแรก ที่ว่าจะใช้นโยบายต้านก่อการร้ายโดยไม่ขัดกับกฎหมาย รัฐธรรมนูญ และค่านิยมอเมริกัน และเคยรับปากจะรื้อฟื้นการตรวจสอบปฏิบัติการต้านก่อการร้ายของฝ่ายนิติบัญญัติกับตุลาการ    

    

ความสูญเสีย


          ฐานข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการโดรนของมูลนิธิ "นิวอเมริกา" ที่รวบรวมตัวเลขจากสื่อกระแสหลักทั้งตะวันตกและปากีสถาน พบว่านับจากปี 2547 จนถึง 25 มิถุนายน 2555 สหรัฐส่งโดรนโจมตีพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน 307 ครั้ง เกิดขึ้นในปีนี้ 25 ครั้ง ขณะยอดผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 1,855-2,848 คน ในจำนวนนี้ ประมาณ 1,562-2,377 คน ถูกระบุว่าเป็นสมาชิกกลุ่มติดอาวุธ ฉะนั้น การตายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับความขัดแย้งนับจากปี 2547 จึงอยู่ที่ประมาณ 16%
 
          ด้าน สำนักงานผู้สื่อข่าวเชิงสอบสวน ระบุว่า มีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 551 คนจากการโจมตีด้วยโดรนในปากีสถาน เยเมน และโซมาเลีย แต่ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้
 
          ขณะที่ตัวเลขจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนปากีสถาน ระบุว่า ยอดเหยื่อโดรนเฉพาะในปี 2553 ปีเดียวมีอย่างน้อย 957 คน และหากนับตั้งแต่ปี 2547 เชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตหลายพันคนจากการโจมตี 300 ครั้ง และ 20% เป็นพลเรือน
 
          แต่รัฐบาลสหรัฐยังป่าวประกาศความสำเร็จของโดรนว่าปลิดชีพวายร้ายได้จำนวนมาก รวมทั้งตัวการใหญ่ๆ และยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่มีพลเรือนเสียชีวิตจากการนี้ ถ้ามีก็น้อยมาก (ซึ่งข้ออ้างนี้คงจะเป็นจริงได้ต่อเมื่อสันนิษฐานว่า ใครที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมายของโดรน ย่อมไม่ใช่คนดี ต้องเป็นผู้ร้ายเหมือนกันหมด) โดยยังไม่ต้องพูดถึงว่า ความสำเร็จของสหรัฐในการเด็ดชีพผู้ก่อการร้าย จะเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพของรัฐบาลประเทศอย่างเยเมนหรือปากีสถานหรือไม่
 
          หนำซ้ำยังได้ผ่อนมาตรฐานการเล็งเป้าหมายในเยเมนให้ง่ายขึ้นอีก ด้วยการอนุมัติหลักการที่เรียกว่า signature strike คือโจมตีเพราะมีพฤติกรรมบางอย่างน่าสงสัย แทนการยืนยันชัดเจนว่าเป็นสมุนอัลไกดาหรือตาลีบัน     

   

ยูเอ็นร้องความชัดเจน    

    
          ในการประชุมที่เอซีแอลยู จัดขึ้นที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อเร็วๆ นี้ นายคริสตอฟ เฮย์นส ผู้เขียนรายงานพิเศษสหประชาชาติว่าด้วยวิสามัญฆาตกรรม ตั้งศาลเตี้ยหรือการสังหารตามอำเภอใจ  ได้วิจารณ์ว่า นโยบายการส่งโดรนมุ่งสังหารเป้าหมาย เป็นการท้าทายระบบกฎหมายระหว่างประเทศที่ใช้มานาน 50 ปีนับจากสงครามโลกครั้งที่สอง อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ประเทศอื่นละเลยมาตรฐานสากลแบบเดียวกัน ดังนั้น สหรัฐมีหน้าที่ต้องสร้างความกระจ่างว่า นโยบายลอบสังหารแทนการจับกุม โดยทำให้มีพลเรือนบาดเจ็บล้มตายตามไปด้วย ชอบธรรมอย่างไรภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
 
          ขณะที่ นายเบน เอ็มเมอร์สัน ผู้เขียนรายงานพิเศษของยูเอ็นอีกคน ชี้ว่า ประเด็นนี้กำลังถูกยกระดับเป็นวาระระดับโลกอย่างรวดเร็ว เพราะจีนและรัสเซียได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีด้วยโดรน ในที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีอีกหลายประเทศสนับสนุน
 
          เอ็มเมอร์สัน ยังได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า หากสหรัฐ หรือประเทศอื่นใดที่กระทำการโจมตีนอกพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสมรภูมิ โดยไม่ได้เปิดการสอบสวนอย่างเป็นอิสระเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตจากเหตุโจมตี เมื่อนั้น สหประชาชาติน่าจะพิจารณาเปิดการสอบสวนได้ และว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะยุติ "การคบคิดของความเงียบ" เกี่ยวกับปฏิบัติการของโดรน ประชาคมโลกต้องการความชัดเจน เพราะทุกวันนี้มีอย่างน้อย 42 ประเทศที่มีเทคโนโลยีโดรนอยู่ในครอบครอง
 
          ด้าน นายจิมมี คาร์เตอร์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดียวกัน ได้ออกมาเรียกร้องให้วอชิงตัน กอบกู้ความเป็นผู้นำด้านจริยธรรมกลับคืน และว่าการโจมตีด้วยโดรนและการลอบสังหารในบ้านคนอื่น เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทางที่มีแต่จะยิ่งเพิ่มศัตรู และห่างเหินเพื่อน
 
          คาร์เตอร์ กล่าวด้วยว่า ไม่ทราบว่ามีพลเรือนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เสียชีวิตไปแล้วเท่าไหร่จากการโจมตีที่ได้รับการอนุมัติจากผู้มีอำนาจสูงสุดในวอชิงตัน เรื่องทำนองนี้ เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคก่อน  
 
          อดีตผู้นำสหรัฐยังฝากให้คิดว่า ในห้วงเวลาที่การปฏิวัติด้วยพลังมวลชนกำลังแผ่ขยายไปทั่วโลก สหรัฐควรมั่นคงหนักแน่นกับหลักนิติรัฐและความยุติธรรม มิใช่เสื่อมถอยเช่นนี้ นโยบายต้านก่อการร้ายสหรัฐปัจจุบัน ละเมิดอย่างน้อย 10 มาตราใน 30 มาตราของปฏิญญาสิทธิมนุษยชน รวมถึงการห้ามปฏิบัติหรือลงโทษอย่างไร้มนุษยธรรมและลดค่าของมนุษย์

 

 

.....................

(หมายเหตุ : โดรนพิฆาต : ศาลเตี้ยมะกัน ... คอลัมน์ เปิดโลกวันอาทิตย์ โดย ... อุไรวรรณ นอร์มา : เรียบเรียงจาก การ์เดี้ยน เอพี)

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ