ข่าว

"เสริมสุข"เพิ่มงบลงทุนปีนี้เท่าตัวรองรับ ศก.ฟื้นปีหน้า-ปรับเกมรับพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน

"เสริมสุข"เพิ่มงบลงทุนปีนี้เท่าตัวรองรับ ศก.ฟื้นปีหน้า-ปรับเกมรับพฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน

19 พ.ค. 2552

เสริมสุขชี้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เน้นรัดเข็มขัดช็อปใกล้บ้าน หันดูแลสุขภาพมากขึ้น ต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาดให้ตรงใจ เผยปีนี้ตั้งงบลงทุน 1,150 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเท่าตัว มองข้ามช็อตรอเศรษฐกิจฟื้นในปีหน้า

 นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลมเป๊ปซี่ มิรินด้า เซเว่นอัพ น้ำดื่มคริสตัล และเกเตอเรด กล่าวว่า จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป โดยปัจจุบันจะรัดเข็มขัด เลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูก หรือมีขนาดเล็กลง และต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น รวมทั้งต้องการความสะดวกสบาย นิยมเดินซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตแบบครงวงจรใกล้บ้าน เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ให้ตรงใจผู้บริโภค

 "เราได้เจาะตลาดทุกเซ็กเมนต์ด้วยเครื่องมือทางการตลาดเต็มรูปแบบ ปรับกลยุทธ์ให้ตรงใจผู้บริโภคเรื่องความคุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นออกบรรจุภัณฑ์ขนาดใหม่ เช่น เป๊ปซี่ 480 มล. ลิปตันและเกเตอเรด 350 มล. และมิรินด้า 6.5 ออนซ์ ตลอดจนปรับบรรจุภัณฑ์ที่เน้นความประหยัดตอบโจทย์บริโภค" นายสมชาย กล่าว

 ในปีนี้บริษัทจะใช้งบลงทุนรวม 1,150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่าตัว โดยแบ่งเป็นงบลงทุนปกติที่ในแต่ละปี 600 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงไลน์ผลิตแล้วบริษัทยังได้จัดสรรงบอีก 550 ล้านบาท ในการซื้อเครื่องจักรเพื่อตั้งไลน์การผลิตขวดเพ็ทในปีนี้ด้วย แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้อต่อการลงทุน เพื่อรองรับกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า

 นอกจากนี้ บริษัทยังปรับทิศทางธุรกิจให้ชัดเจนขึ้น และได้พัฒนาระบบโลจิสติกส์และการขนส่งใหม่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึงการย่นระยะทางขนส่งด้วยการเพิ่มสายการผลิตน้ำดื่มคริสตัลที่โรงงานสุราษฎร์ธานีแทนปทุมธานี และนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทที่มีน้ำหนักเบาทำให้ลดการใช้เม็ดพลาสติกได้ปีละ 25 ล้านบาท และยังเปลี่ยนหีบห่อมาเป็นถาดกระดาษห่อฟิล์ม ซึ่งลดค่าใช้จ่ายได้ 50%

 จากแนวทางดังกล่าวส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาของเสริมสุขมีกำไรสุทธิ 123 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นตัวเลขรายได้รวมลดลง 11 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้ 5,032 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 5,043 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 5% จาก 19,420 ล้านบาท

 นายสมชาย กล่าวว่า ภายใต้ข้อบังคับของภาครัฐ น้ำอัดลมเป็นสินค้าที่มีสถานะคาบเกี่ยวระหว่างสินค้าเฝ้าระวังหรือสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะเป็นสินค้าที่มีการเฝ้าระวังราคาในลักษณะเดียวกับสินค้าจำเป็น ขณะเดียวกันก็มีการบังคับใช้ระเบียบภาษีสรรพสามิตซึ่งใช้กับสินค้าฟุ่มเฟือย จึงอาจกล่าวได้ว่าน้ำอัดลมเป็นสินค้าจำเป็นแบบฟุ่มเฟือยเพียงชนิดเดียวในเมืองไทยที่มีผลต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนของเป๊ปซี่ในประเทศไทย