
เปิดคัมภีร์'สามก๊ก'ไขกลยุทธ์ผู้นำ
เปิดคัมภีร์ 'สามก๊ก' ไขกลยุทธ์การเป็นผู้นำและบริหารคน : คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง : โดย ... บัญญัติ คำนูณวัฒน์
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปฟังคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ เสวนาพิเศษหัวข้อ “จากปรัชญาสามก๊ก สู่การบริหารเอชอาร์” ทำให้รู้ว่า เรื่องราวของสามก๊กไม่ได้สอนเพียงแค่เรื่องการคิดวางแผน และการวางยุทธศาสตร์การรบอย่างมีกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังสอนเรื่องการเป็นผู้นำและการบริหารคนทำงานให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ต้องการอย่างมีกลยุทธ์จากตัวละครในสามก๊ก “โจโฉ เล่าปี่ และซุนกวน” จึงขอหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาและนำมา “เล่าสู่กันฟัง” ในฉบับนี้
“โจโฉ” เป็นนักบริหารที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ความสามารถของโจโฉได้รับการยอมรับทั้งด้านวรรณกรรมและการเมืองทหาร เป็นตัวละครที่มีสีสันที่สุดในวรรณกรรมสามก๊ก มีอารมณ์ขันแอบซ่อนอยู่ในความเหี้ยมโหด และด้วยนิสัยขี้เล่นมีอารมณ์ขันอย่างตรงไปตรงมา จึงมีส่วนช่วยให้โจโฉประสบความสำเร็จในทางการเมือง
การบริหารสไตล์ “โจโฉ” เน้นเรื่องการบริหารคน เพราะบุคลากรที่มีคุณภาพเป็นทรัพยากรสำคัญขององค์กร จึงคัดเลือกคนที่มีความสามารถและจัดคนให้เหมาะกับงานที่มอบหมาย โดยไม่ถืออคติต่อภูมิหลัง ไม่ยึดหลักศักดินา ไม่ยึดพวกพ้องเครือญาติ ขอแค่เป็นคนที่มีความสามารถไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็จะเปิดโอกาสให้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ ทำให้ลูกน้องตื่นตัวตลอดเวลา มีการแข่งขันกันสูง และใช้เกณฑ์การประเมินที่ยุติธรรม ด้วยการวัดจากผลงาน นอกจากนี้ ยังรู้จักใช้จิตวิทยาจัดการกับลูกน้อง ทำให้โจโฉได้ใจลูกน้อง มีทั้งกุนซือและยอดขุนพลมากที่สุด แต่ด้วยเหตุที่ต้องการผลสำเร็จเป็นสำคัญ ทำให้โจโฉต้องติดภาพเหี้ยมโหดไปโดยปริยาย
“เล่าปี่” เป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์โชกโชน มีสายตาอันแหลมคมเป็นที่ประจักษ์ ถือได้ว่าเป็นเลิศในสามก๊ก สามารถอ่านคนทะลุถึงศักยภาพภายใน ชี้จุดแข็งและจุดอ่อนของแต่ละคนออกมาได้อย่างชัดเจน
การบริหารสไตล์ “เล่าปี่” คือค่อยเป็นค่อยไป กองทัพของเล่าปี่เปรียบเสมือนเอสเอ็มอี ที่ให้ญาติพี่น้องมาช่วยกันบริหารในแต่ละฝ่าย และกล้าที่จะใช้คน นั่นคือ ขงเบ้ง ที่เก่งทางด้านการบริหาร การจัดรูปแบบ และการจัดการองค์กรให้เหมาะสมกับลักษณะงานต่างๆ สามารถมองอนาคต มีวิสัยทัศน์ และวิเคราะห์ข้อมูลที่แม่นยำ เป็นการบริหารงานอย่างมีระบบ ต่างจากแบบเดิมที่เป็นระบบเถ้าแก่หรือระบบครอบครัวของเล่าปี่ ถึงแม้ว่าเล่าปี่จะล้มลุกคลุกคลานครึ่งชีวิต พ่ายแพ้ศึกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่สามารถประสบความสำเร็จในบั้นปลายด้วยจุดเด่นคือ ความเชื่อมั่นในความสามารถของลูกน้อง สร้างบารมีด้วยคุณธรรมจนเป็นที่เคารพนับถือของลูกน้องและคนในปกครอง มัดใจด้วยใจ
“ซุนกวน” เป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในสามก๊ก มีความสามารถในการบริหารผสมผสานทีมงานต่างรุ่นตั้งแต่รุ่นเก่าไปจนถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรักษาความเข้มแข็งของก๊กที่รวมเหล่าเก่งไว้มากมาย ทั้งขุนพล แม่ทัพ และที่ปรึกษา มากกว่าผู้นำคนใดในสามก๊ก
การบริหารสไตล์ “ซุนกวน” ด้วยการเป็นผู้นำที่มีศักยภาพ จุดเด่นจึงไม่ได้อยู่ที่การนำทัพออกรบ แต่เน้นการบริหารทีมงานให้เกิดความสามัคคี ด้วยนโยบายการบริหารคน คือวัดคนที่ความสามารถ รู้จุดเด่นจุดด้อยของลูกน้อง ส่งเสริมการพัฒนาตนเอง ต่างจากผู้นำเผด็จการของโจโฉ และเล่าปี่ที่มีขงเบ้งเป็นซีอีโอ ตรงที่ซุนกวนจะให้มีการประชุมขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ เปรียบเสมือนคณะที่ปรึกษา โดยให้ทุกฝ่ายนำข้อมูลเหตุผลมาวิพากษ์วิจารณ์และถกประเด็นกัน ส่วนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของซุนกวน แต่มีจุดอ่อนที่เป็นคนตัดสินใจไม่เด็ดขาด ทำให้ไม่มีทิศทางการเมืองที่ชัดเจน หวังเพียงแค่จะปรับตัวเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ที่พลิกผันตลอดเวลา
นี่เป็นสไตล์การบริหารจัดการของผู้นำในยุคสามก๊กที่พอจะสรุปได้ว่า ผู้นำไม่ว่าจะในระดับไหน ต่างก็สามารถเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้การบริหารจัดการให้เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในที่สุดแล้ว ไม่มีใครจะดำรงความเป็นผู้นำได้ตลอดกาล
----------
(หมายเหตุ : เปิดคัมภีร์ 'สามก๊ก' ไขกลยุทธ์การเป็นผู้นำและบริหารคน : คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง : โดย ... บัญญัติ คำนูณวัฒน์)
----------