ข่าว

เมือง(ของคนไม่อ่าน)หนังสือโลก

เมือง(ของคนไม่อ่าน)หนังสือโลก

18 มิ.ย. 2555

เมือง(ของคนไม่อ่าน)หนังสือโลก : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล

                จากสถิติล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละประมาณ 2-5 เล่ม ซึ่งฟังดูดีกว่าที่ได้ยินได้ฟังกันมาก่อนหน้านี้ที่ว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด แต่ก็คงไม่สามารถจะดีใจได้ เมื่อทราบต่อไปว่า คนมาเลเซียอ่านหนังสือ ปีละ 40 เล่ม คนสิงคโปร์อ่านหนังสือกัน 40-50 เล่มต่อปี และคนเวียดนามอ่านกันปีละ 60 เล่ม
                
             สถิติดังกล่าวบอกอะไรกับเราบ้าง? ประการแรกก็คือแสดงให้เห็นว่าการอ่านหนังสือไม่ใช่พฤติกรรมซึ่งเป็นที่นิยมของคนไทยโดยทั่วไป เท่ากับการหาความบันเทิงจากการชมโทรทัศน์ หรือเล่นเกมเล่นอินเทอร์เน็ต และประการที่สองก็คือเราไม่ได้มีการเสริมสร้างพฤติกรรมการอ่านของประชาชนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
   
             แล้วการอ่านหนังสือมีความสำคัญต่อเราอย่างไร? เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าหนังสือเป็นคลังความรู้และแหล่งภูมิปัญญาของมนุษยชาติ หนังสือให้ทั้งความรู้ ความคิด และความบันเทิง หนังสือบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองและในโลกให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ค้นคว้า วิจัย หนังสือจุดประกายอุดมคติ ถ่ายทอดความงามของศิลปะการประพันธ์ และผลงานด้านวรรณกรรมอันเป็นอมตะ การอ่านหนังสือจึงทำให้ผู้อ่านเกิดโลกทัศน์ที่กว้างไกล และขยายมิติทางความคิดให้หลากหลายขึ้น รวมทั้งรู้เท่าทันสถานการณ์
   
             ความสำคัญอย่างยิ่งของการอ่านก็คือการก่อให้เกิดจินตนาการไปตามชั้นเชิงและวรรณศิลป์ของผู้เขียน ซึ่งสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นในการชมโทรทัศน์ ซึ่งผู้ชมถูกทำให้เชื่อตามบทบาทที่ผู้แสดงหรือผู้จัดรายการชี้นำ หรือเว็บไซต์และอินเทอร์เน็ตที่ใช้เวลาและพื้นที่อันจำกัด ถ้าถามว่าจินตนาการมีความสำคัญเพียงไร ก็คงต้องย้อนไปดูคำกล่าวของไอน์สไตน์ที่ว่า “จินตนาการมีความสำคัญกว่าความรู้“ (Imagination is more important than knowledge) ทั้งนี้เพราะความรู้เป็นสิ่งพื้นฐาน ซึ่งคนทั่วไปสามารถจะเรียนรู้ได้เทียมกัน แต่จินตนาการคือการนำความรู้นั้นๆ ไปต่อยอดเพื่อให้เกิดองค์ความรู้หรือนวัตกรรมขึ้นมา
   
             ดังนั้น การอ่านจึงไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านหนังสืออะไรก็ได้ แต่ควรจะต้องเลือกอ่านหนังสือที่เป็นประโยชน์ต่อความรู้ ความคิด และจินตนาการ ซึ่งหากดูรายชื่อหนังสือที่คนมาเลเซีย คนสิงคโปร์ และคนเวียดนามอ่านแล้ว เชื่อได้ว่าในจำนวนนั้นจะต้องมีวรรณกรรมระดับโลก ซึ่งนิยมอ่านกันทั้งในสหรัฐ และยุโรป รวมอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้ เพราะชาติเหล่านั้นตระหนักถึงเรื่องคุณค่าของหนังสือและการสร้างรสนิยมในการอ่าน ซึ่งอาจจะยังเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยได้คิดถึงกัน ทั้งที่การอ่านนั้นมิใช่แค่อ่านออก หรืออ่านได้ แต่ต้องอ่านเป็นด้วย เพราะคุณภาพของคนในสังคม ย่อมมาจากคุณภาพของหนังสือที่เขาอ่าน
   
             เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนแล้วนะครับ ก็จะถึงปี พ.ศ.2556 อันเป็นปีที่กรุงเทพมหานครได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองหนังสือโลก ครับ เป็นเมืองหนังสือโลก ของประเทศที่มีคนอ่านหนังสือปีละ 2-5 เล่ม, เป็นเมืองหนังสือโลก ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อนักเขียนไทย ที่หลายท่านได้รับการยกย่องจากยูเนสโกว่าเป็นบุคคลที่มีผลงานด้านวัฒนธรรมดีเด่นของโลก หรือได้รับรางวัลระดับนานาชาติ, และเป็นเมืองหนังสือ ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อหนังสือวรรณคดีและวรรณกรรมของไทยเราเท่าที่ควร
   
             น่าเสียดายโอกาสของการเป็นเมืองหนังสือโลกซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และก็น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้โอกาสนี้กระตุ้นให้คนไทยอ่านหนังสือกันมากขึ้น และอ่านหนังสือเป็น
   
             น่าเสียดายครับ