ข่าว

จับตา'ยี่เซ'ทายาท'หน่อคำ'นักค้ายาค่าหัว1ล้าน

จับตา'ยี่เซ'ทายาท'หน่อคำ'นักค้ายาค่าหัว1ล้าน

06 มิ.ย. 2555

จับตา'ยี่เซ'ทายาท'หน่อคำ' นักค้ายาค่าหัว1ล้าน

               สภาวะสองแรงบวกจากนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาลพม่า และมาตรการเข้มงวดของรัฐบาลไทย ทำให้ภาวะการผลิตยาเสพติดในฝั่งเพื่อนบ้านชะงักงัน ส่งผลให้ปริมาณการลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในประเทศไทยลดลงไปกว่าร้อยละ 70-80 เนื่องจากเส้นทางลำเลียงเกือบทุกเส้นทางถูกบล็อกอย่างเข้มงวด ประกอบกับการปฏิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง โดยดูจากตัวเลขปริมาณยาบ้าที่เจ้าหน้าที่ยึดได้กว่า 53 ล้านเม็ด คือสถิติที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) บันทึกไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2554-พฤษภาคม 2555
 
               เกี่ยวกับการขับเคลื่อนขบวนการค้ายาเสพติดนั้น ชุดปฏิบัติการ ปปส.ให้ข้อมูลเชิงลึกว่า ปัจจุบันขบวนการค้ายาเสพติดกำลังนำ "ไอซ์" เข้ามาทดแทน "ยาบ้า" ที่เริ่มมีปริมาณลดน้อยลงด้วยผลจากปัจจัยสองแรงบวกข้างต้น ประกอบกับในช่วงหลังรัฐบาลไทยเข้มข้นควบคุมสาร "ซูโดอีเฟดรีน” ที่หายไปจากโรงพยาบาลหลายแห่ง หลังจากพบว่า สารดังกล่าวถูกนำไปเป็นสารตั้งต้นผลิตยาบ้าในประเทศเพื่อนบ้าน โดยสารซูโดอีเฟดรีน 1 เม็ด จะสามารถผลิตยาบ้าได้ 3-5 เม็ด
 
               จากปัญหาการผลิตยาบ้าลดน้อยลง ทำให้ความต้องการในตลาดเพิ่มสูงมากขึ้น กลุ่มผู้ผลิตยาเสพติดจึงปรับราคาขายส่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัว โดยราคาขายส่งจากหน้าโรงงานในพม่าปรับขึ้นเม็ดละ 40-80 บาท ส่วนชายแดนฝั่งพม่าปรับขึ้นเม็ดละ 70-100 บาท ขณะที่บริเวณชายแดนฝั่งไทยขายราคาส่งปรับตัวสูงขึ้น 75-120 บาท ส่วนการซื้อขายในพื้นที่ภาคเหนือขายปลีกอยู่ที่เม็ดละ 200-450 บาท ปริมณฑล และภาคกลาง ขายส่งแบบเป็นมัด หรือ 2,000 เม็ด ปรับราคาขึ้นกว่า 2 หมื่นบาท ส่วนราคาขายส่งยาบ้าในพื้นที่ กทม.พบว่า ปรับราคาไม่มากอยู่ที่เม็ดละ 90-130 บาท ส่วนพื้นที่ภาคใต้ปรับขึ้นอยู่ที่ 120-150 บาท ขณะที่สถานการณ์ราคาขายปลีกทั่วประเทศอยู่ที่เม็ดละ 250-300
 
               จากราคายาบ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเท่าตัวสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการสกัดกั้น “ซูโดอีเฟดรีน” ของเจ้าหน้าที่ได้ผลในเรื่องการลดปริมาณผลิตยาบ้าในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แต่ในขณะเดียวกันกลับส่งผลให้ราคาในประเทศถีบตัวสูงขึ้น และด้วยเหตุผลดังกล่าวอาจทำให้สถานการณ์ซื้อขายยาบ้าเป็นสิ่งล่อตาล่อใจขบวนการค้ายาเสพติดมากขึ้นเช่นกัน
 
               ดังนั้นปัญหายาเสพติดถือเป็น "วาระแห่งชาติ" ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือขจัดให้สิ้นไปจากแผ่นดินไทย ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการปปส. ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "คม ชัด ลึก" ถึงมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลว่า การแก้ปัญหายาเสพติดต้องใช้กำลังปฏิบัติการทั้งสิ้น 6 กระทรวง 20 กรม อาทิ กองทัพ ตำรวจ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม ฯลฯ ขณะที่ ป.ป.ส. ทำหน้าที่ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อใช้ขับเคลื่อนแผน และประสานงานกับหลายกระทรวงเพื่อติดตามแผนต่างๆ
 
               ด้านการปฏิบัติการในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่กำหนดพื้นที่พิเศษ หรือ 315 เพื่อให้เกิดการปฏิบัติการร่วมกันในเขต กทม.และปริมณฑล โดยพื้นที่ดังกล่าว พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นผู้อำนวยการ 315 ส่วน พล.ท.ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ 3 รับผิดชอบภาคเหนือ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 รับผิดชอบภาคใต้ ขณะที่ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ มี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์
 
               ทั้งนี้แผนการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่มีอยู่ด้วยกัน 7 แผน ตั้งแต่การสกัดกั้นตามแนวชายแดน โดยมอบให้ “กองทัพบก” ผู้รับผิดชอบใช้กำลังจาก 8 กองกำลังทั่วประเทศโดยบูรณาการร่วมกับตำรวจ และกระทรวงอื่นๆ  เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ส่วนพื้นที่ห่างจากชายแดนเข้ามาประมาณ 5 กิโลเมตรจะให้ “ตำรวจ” เป็นเจ้าภาพ โดยปีนี้มีเป้าหมายในการจับเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญกว่า 6 หมื่นเป้าหมาย มีหมายจับอีกกว่า 4,558 หมายจับ นอกจากนี้ยังคัดหมายสำคัญอีก 25 หมายจับ
 
               “ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเครือข่ายคนสำคัญกว่า 3 หมื่นเครือข่ายโดยเฉพาะการจับกุม “นายหน่อคำ” นักค้ายาเสพติดคนสำคัญเจ้าของฉายา “สลัดน้ำจืด” ค่าหัว 2 ล้านบาท กับนายชินวัชร์ นัยตรีมิตร หรือบอส-เอส ค่าหัว 5 แสนบาท หลังจับกุมเชื่อว่า จะต้องมีตัวตายตัวแทนขึ้นมา ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ส.กำลังเพ่งเล็งไปยังนายชัยวัฒน์ พาสกุลไพศาล หรือยี่เซ มีรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท โดยนักค้ายาเสพติดคนนี้เคยเป็นสมุนของขุนส่า" พล.ต.อ.อดุลย์กล่าว
 
               พล.ต.อ.อดุลย์ยังกล่าวถึงการปฏิบัติการร่วมกับต่างประเทศว่า ปปส.ได้ประชุมทวิภาคีร่วมกันระหว่างไทย-ลาว, ไทย-พม่า, ไทย-จีน และไทย-กัมพูชา เพื่อปฏิบัติร่วมกัน โดยผลจากการทำงานร่วมกัน ทำให้ที่ผ่านมาสามารถจับกุมเครือข่ายรายสำคัญของพม่าได้ถึง 8.7 ล้านเม็ด ส่วนอีกมาตรการที่ได้ผล คือการปราบปรามยาเสพติดในเรือนจำควบคู่กับการ "บำบัด" โดย รมว.ยุติธรรมเร่งวางแผนปฏิบัติการเรือนจำบำบัด คาดว่าปีนี้จะดำเนินการทั้งหมด 7 แห่ง ขณะที่ปีหน้าจะดำเนินการอีก 30 แห่ง
 
               นอกจากนี้ เลขาธิการ ปปส. ยังเห็นว่า “แผนชุมชน” เป็นอีกหนึ่งแผนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดรับผิดชอบในการยกระดับสร้างความเข้มแข็งให้แก่หมู่บ้านทั่วประเทศจำนวน 6.1 หมื่นหมู่บ้านปลอดภัยจากยาเสพติด ซึ่งขณะนี้ดำเนินได้ประมาณ 5 หมื่นหมู่บ้าน โดยมีเป้าหมายลดปริมาณของผู้ที่ติดยาเสพติด 1.2 ล้านคน
 
               อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขในขณะนี้ คือการ "ลดกลุ่มเสี่ยงในโรงเรียน" โดยเฉพาะการดูแลเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 7-19 ปี กว่า 1 หมื่นโรงเรียน ประมาณ 9 ล้านคน รวมทั้งเด็กนอกโรงเรียนจำนวน 2 ล้านคนไม่ให้เข้าไปอยู่ในวังวนของยาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รับผิดชอบในโรงเรียน โดยมีตำรวจเข้าไปเสริม ร่วมกับโครงการทูบีนัมเบอร์วัน, โครงการครูพระ เป็นต้น
 
               สุดท้าย พล.ต.อ.อดุลย์กล่าวถึงสัญญาณที่ดีว่า ขณะนี้แหล่งผลิตเริ่มชะลอการผลิต ซึ่งอาจเป็นเพราะนโยบายหยุดยิงของพม่า และการกวาดล้างยาเสพติดอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ไทยสามารถควบคุมสารตั้งต้นอย่าง "ซูโดอีเฟดรีน" ได้สัมฤทธิผล แต่จะต้องติดตามในระยะยาวต่อไป โดยเฉพาะการเข้มงวดทางกฎหมายอย่างจริงจัง และสิ่งที่ต้องการเห็น คือ การแพร่ระบาดในชุมชนจะต้องหมดไป

..........

(หมายเหตุ : จับตา'ยี่เซ'ทายาท'หน่อคำ' นักค้ายาค่าหัว1ล้าน)