ข่าว

ประหารแก๊งค์ปล้นฆ่ายกครัว5ศพ

ประหารแก๊งค์ปล้นฆ่ายกครัว5ศพ

29 พ.ค. 2555

ศาลพิพากษาประหารชีวิต แก๊งค์ปล้นฆ่ายกครัว เสี่ยเจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ ปี 52 กวาดทรัพย์สินกว่า 3 ล้าน อีก 3 รายรับสารภาพชั้นสอบสวน มีเหตุลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต

               เมื่อเวลา 10.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.2347/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวันชัย หรือ จ่าแดง อ้นปันส์ อายุ 61 ปี , นายปริทรรศ หรือ กี นุ่มน้อย อายุ 55 ปี , นายธรายุทธ หรือ เจี๊ยบ แสนสุข อายุ 50 ปี และนายอำนาจ หรือ โอ๋ ภราดรพิทักษ์ อายุ 30 ปี เป็นจำเลยที่ 1 - 4 ในความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย , ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานโดยใช้อาวุธปืน , ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 , 289 , 340 , 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7 , 8 , 72

                ทั้งนี้ คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้อง ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 - 11 เม.ย.52 จำเลยทั้งสี่ ร่วมกันมีอาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ไม่มีเครื่องหมายทะเบียน และร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืน ออโตเมติก ขนาด 11 มม. จำนวนหลายนัด โดยจำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปที่บ้านเลขที่ 5388 ซอยโพธิ์แก้ว 3 แยก 23 นวมินทร์ 111 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. เป็นบ้านทรงยุโรป เนื้อที่ 1 ไร่ และร่วมกันวางแผนปล้นทรัพย์ เครื่องซี.พี.ยู.คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ราคา 20,000 บาท คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง ราคา 30,000 บาท โทรศัพท์มือถือไม่ทราบยี่ห้อ 1 เครื่อง ราคา 10,000 บาท สร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท จำนวน 1เส้น ราคา 30,000 บาท ของนายธนายศ ปทุมวาสนา อายุ 52 ปี เจ้าของบ้านและเป็นนักธุรกิจโรงงานเฟอร์นิเจอร์และนักธุรกิจจัดสรรที่ดิน โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโมโตโรลล่า 2 เครื่อง ราคา 24,000 บาท รถยนต์ตู้ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลพาร์ท สีขาว หมายเลขทะเบียน ชณ 8535 กรุงเทพมหานคร 1 คัน ราคา 3,000,000 บาท ของนางกนกกาญจน์ โพธิ์ทอง อายุ 47 ปี ภรรยานายธนายศ โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 1 เครื่อง ราคา 10,000 บาท ของ น.ส.ศศิมา ปทุมวาสนา อายุ 17 ปี บุตรสาว โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย 1 เครื่อง ราคา 15,000 บาท ของนายธนวัฒน์ ปทุมวาสนา อายุ 15 ปี บุตรชาย และโทรศัพท์มือถือไม่ทราบยี่ห้อ 1 เครื่อง ราคา 10,000 บาทของนางสำรอง บัวแก้ว อายุ 43 ปี แม่บ้าน รวมทรัพย์ 10 รายการ เป็นเงิน 3,149,000 บาท ไปโดยทุจริต

                โดยจำเลยทั้งสี่ ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายธนายศ จำนวนหลายนัดถึงแก่ความตาย ต่อมาจับน.ส.ศศิมา นายธนวัฒน์ และนางสำรองใส่กุญแจมือล็อคข้อมือทั้งสองข้างไว้ แล้วใช้ปืนยิงลำตัวด้านซ้ายน.ส.ศศิมาเป็นเหตุให้น.ส.ศศิมา ถึงแก่ความตาย ก่อนจะใช้เทปกาวพันรอบศีรษะปิดตานายธนวัฒน์ ทั้งสองข้าง และใช้สายเข็มขัดผ้ามัดข้อเท้าทั้งสองข้างของนายธนวัฒน์ แล้วบีบรัดคอจนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต จากนั้นจำเลยทั้งสี่ใช้เทปกาวพันรอบศีรษะปิดตานางสำรองทั้งสองข้าง ใช้ผ้าขนหนูมัดปิดปากและใช้เชือกรัดคอแขวนห้อยไว้กับลูกบิดประตูห้องน้ำจนขาดอากาศหายใจถึงแก่ความตาย และร่วมกันบีบรัดคอนางกนกกาญจน์ ถึงแก่ความตาย โดยสภาพศพทั้งห้าอยู่ในสภาพเน่าเปื่อย เสียชีวิตก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาพบหลายวัน

                ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์-จำเลย นำสืบแล้ว เห็นว่า โจทก์มีพยานเบิกความว่าจำเลยที่ 1-2 นำโทรศัพท์ของผู้ตายมาขายให้เมื่อวันที่ 6 เม.ย.52 จากนั้นพวกจำเลยเอารถยนต์ตู้ไปขายที่ถ.สวนผัก ตลิ่งชัน กทม. และมีการใช้โทรศัพท์ที่ย่านดังกล่าวก่อนเอารถไปจอดทิ้งที่ จ.สมุทรปราการ พยานโจทก์ยังเบิกความว่า จำเลยที่ 3 ได้เล่าถึงเหตุการณ์ให้ฟังแล้วยังขอให้ช่วยเอาเสื้อผ้ากับสิ่งของไปเผาทิ้งเพื่อทำลายหลักฐาน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยทั้งหมดได้ ซึ่งจำเลยที่ 2-4 รับสารภาพว่าจำเลยที่ 1 จ้างวานใช้ให้ไปประทุษร้ายดังกล่าว ศาลเห็นว่าเป็นคำรับสารที่ให้การหลังเกิดเหตุใหม่ๆ ไม่เป็นการปั้นแต่งและไม่เป็นการกลั่นแกล้งจำเลยที่ 1 แม้คำเบิกความมีลักษณะเป็นคำซัดทอด แต่ไม่มีกฎหมายห้ามรับฟัง และเชื่อว่าไม่มีการล่อลวงให้รับสารภาพเพื่อพ้นผิด ส่วนคำให้ของจำเลยที่ 1 ที่อ้างถิ่นที่อยู่เป็นการปฏิเสธลอยๆ ไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือ

                คดีจึงฟังได้ว่าวันที่ 4 เม.ย.52 จำเลยทั้งสี่ได้สวมหน้ากากไอ้โม่งเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วจับตัวนางสำรองมัดไว้ และยังใช้ปืนยิงนายธนายศ และน.ส.ศศิมา จนถึงแก่ความตาย จากนั้นได้ฆ่านายธนวัฒน์โดยใช้เข็มขัดรัดคอจนขาดอากาศหายใจ และฆ่านางสำรองโดยทารุณโหดร้าย จำเลยที่1 ได้ขู่ให้นางกนกกาญจน์บอกรหัสเปิดเซฟแต่นางกนกกาญจน์บอกว่าสามีที่ตายไปก่อนเป็นคนเดียวที่รู้รหัส พวกจำเลยจึงบีบคอนางกนกกาญจน์จนตาย การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นความผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และโดยทารุณโหดร้าย และปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1

                ส่วนจำเลยที่ 2 - 4 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน มีประโยชน์ต่อการพิจารณาให้ลดโทษจากประหารชีวิตเหลือจำคุกตลอดชีวิต

                ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ศาลกำลังอ่านคำพิพากษา จำเลยที่ 2 มีอาการเครียดจัด ถึงกลับเข่าอ่อนทรุดตัวลงนั่ง โดยเมื่อศาลตัดสินประหารชีวิต จำเลยที่ 2 ได้ทรุดตัวลงนั่งอีกครั้งและเกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน อุจจาระราดจนเหม็นไปทั่ว ทำให้จำเลยในคดีอื่นต้องย้ายออกไปข้างนอกห้อง