
ค้านปล่อยสัตว์ผลวิจัย'ทำบุญ-ได้บาป'
แอนตี้..ปล่อยสัตว์ผลวิจัย'ทำบุญ-ได้บาป'
การทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการปล่อยนกปล่อยปลา หรือปล่อยสัตว์ประเภทต่างๆ กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทยจำนวนไม่น้อย ในแทบทุกโอกาส ทั้งวันเกิด วันปีใหม่ รวมถึงเทศกาลและวันสำคัญอื่นๆ และไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้น คนจีน และผู้คนในแถบเอเชียอีกหลายประเทศก็นิยมทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีการนี้เช่นเดียวกัน
ล่าสุดรัฐบาลไต้หวันกำลังจะออกกฎระเบียบห้ามปล่อยนกปล่อยปลาอีกต่อไป หลังมีข้อมูลยืนยันว่า ในแต่ละปีนกและปลาในไต้หวันไม่น้อยกว่า 200 ล้านตัว ได้รับบาดเจ็บและตายด้วยน้ำมือมนุษย์ที่นิยมพิธีกรรมแบบนี้
เมื่อเร็วๆ นี้ กลุ่มอนุรักษ์จาก "สมาคมสิ่งแวดล้อมและสัตว์แห่งไต้หวัน" เปิดเผยข้อมูลว่า ทุกปีสถานทำบุญซึ่งมีอยู่ไม่น้อยกว่า 750 แห่งทั่วไต้หวัน จัดพิธีปล่อยสัตว์ หรือที่เรียกว่า "ปล่อยด้วยความเมตตา" (Mercy Releases) โดยสัตว์ที่นำมาปล่อยส่วนใหญ่เป็นปลาและนก ทำให้สัตว์กว่า 200 ล้านตัวต้องตายหรือบาดเจ็บหนักเพราะขาดอาหารหรือที่อยู่อาศัย หากกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้จริง ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งแอบไปปล่อยสัตว์ จะมีโทษจำคุก 2 ปี หรือปรับเงินเกือบ 3 ล้านบาท
ทำไมคนจึงนิยมสะเดาะเคาะห์ด้วยวิธีนี้ ?
งานวิจัยล่าสุดในหัวข้อ "ปล่อยสัตว์ ทำบุญฤๅสร้างบาป" ที่ศึกษาโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปี 2554 ระบุถึงความเป็นมาของพิธีกรรมข้างต้นว่า
นานมาแล้ว เจ้าอาวาสผู้มีญาณพิเศษทำนายดวงชะตาราศีได้แม่นยำ เผอิญไปพบกับสามเณรกำลังกวาดลานวัด แล้วสังเกตเห็นว่าสามเณรมีสีหน้าหมองคล้ำจึงถามวัน เดือน ปีเกิด เพื่อสำรวจดวงชะตาให้ ปรากฏว่าดวงสามเณรไม่ดีนักจะอายุสั้น สมภารจึงแนะนำให้กลับไปเยี่ยมบุพการีในวาระสุดท้ายของชีวิต ระหว่างเดินทางกลับบ้านนั้น สามเณรผ่านทุ่งนาแล้วเห็นปลาในหนองน้ำกำลังจะตายเพราะความแห้งแล้ง จึงเกิดความรู้สึกสงสาร เลยค่อยๆ เอามือช้อนปลาทีละตัวไปปล่อยที่ลำคลองใหญ่ พร้อมพูดในใจว่า "ข้าให้อิสระแก่เจ้า ขอให้เจ้ามีชีวิตยืนยาวต่อไป"
หลังจากเยี่ยมญาติพี่น้องเสร็จ สามเณรเดินทางกลับมายังวัด เมื่อสมภารเห็นใบหน้าที่ผ่องใสไม่หมองคล้ำเหมือนเดิม จึงสอบถามความเป็นมาว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างละเอียด เมื่อทราบว่าไปปล่อยปลามาแล้วสามารถต่อชะตาชีวิตได้ ข่าวลือเรื่องนี้จึงสะพัดไปทั่วหมู่บ้านและกลายเป็นความเชื่อสืบต่อมาถึงทุกวันนี้
ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวได้สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมนี้ทั้งผู้ขาย ผู้ปล่อย วัด ฯลฯ ได้ข้อสรุปว่า คนส่วนใหญ่นิยมทำทานด้วยการปล่อยสัตว์เพราะมีหมอดูแนะนำ เมื่อทำบุญที่วัดเสร็จก็จะทำทานด้วยการซื้อสัตว์ที่ขายหน้าวัดเพราะเชื่อว่าทำแล้วจะเกิดความสบายใจ ช่วยให้หายป่วย ต่อชะตาชีวิต ทำให้เกิดจิตกุศล ฯลฯ
ส่วนกลุ่มผู้ขายสัตว์ที่ยึดเป็นอาชีพนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเครือข่ายญาติพี่น้องแนะนำกันมา เพราะสัตว์หลายประเภทต้องซื้อขายในตลาดมืด เช่น นกบางประเภทและเต่าซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม "พระราชบัญญัติสงวนและคุมครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535"
ในงานวิจัยระบุว่า สัตว์ที่คนนิยมปล่อยมากที่สุด คือปลาไหล เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตลื่นไหล เงินทองไหลมาเทมา ความทุกข์ไหลออกไป แต่การปล่อยปลาไหลบริเวณแม?นํ้าหน้าวัดนั้น อาจไม่ได้ช?วยชีวิตสัตว?หรือได?บุญจริง เนื่องจากธรรมชาติของปลาไหลชอบอยู่บริเวณลำห?วย หนองน้ำ คลอง บึง ที่มีดินโคลนดินเลนให?มุด นอกจากนี้ยังชอบสภาพน้ำนิ่งๆ ไม?ไหลแรงมาก ดังนั้น เมื่อคนซื้อปลาไหลหน้าวัดแล้วปล่อยทิ้งลงกลางแม่น้ำ ปลาไหลจะอยู่นิ่งเพราะทนความแรงของกระแสน้ำไม่ไหว แล้วพยายามว่ายหลบมายังริมตลิ่ง สุดท้ายก็โดนกลุ่มพ่อค้าจับมาขายซ้ำใหม่ได้อย่างง่ายดาย
งานวิจัยข้างต้นแนะนำให้หน่วยราชการท้องถิ่นช่วยหาอาชีพใหม่ให้แก่ผู้ค้าสัตว์เพื่อทำบุญ พร้อมกับเผยแผ่คำสอนของพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญและทำทาน เพราะยังมีความเชื่อผิดๆ อยู่มาก หากใครต้องการทำทานด้วยการปล่อยสัตว์ ก็ควรศึกษาวิถีชีวิตของสัตว์เหล่านั้นให้ดีก่อนที่จะทำร้ายหรือทำอันตรายให้พวกมันมากกว่าเดิม
ด้านอาจารย์ขวัญทอง สอนศิริ วิทยากรจริยธรรมแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ศูนย์พิษณุโลกศึกษา แสดงความเห็นในมุมมองของพุทธศาสนิกชนที่คลุกคลีกับการร่วมทำบุญทำทานในวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทยว่า สัตว์ที่คนนิยมนำมาปล่อยเพื่อทำบุญทำทานคือปลาไหลเพราะให้ทุกข์โศกหลั่งไหลออกไป และปล่อยนกเพื่อให้มีความสุขความเจริญ มีโชคดี มีโอกาสใหม่ๆ ปล่อยหอยขม เหมือนการปลดปล่อยความขื่นขมออกไป หอยจะช่วยดูดความอัปมงคลของชีวิต ส่วนวัดนั้นมี 2 แบบคือ วัดที่สนับสนุนให้มีผู้มาซื้อขายสัตว์หน้าวัด เพื่อให้นำไปปล่อย ถือเป็นการหารายได้และอำนวยความสะดวก กับวัดที่ต่อต้านไม่ให้มีพ่อค้าแม่ค้ามาใช้วิธีนี้หากินกับผู้มาทำบุญ
"การทำบุญที่ถูกต้องนั้น จิตใจต้องเกิดความปีติ ทั้งก่อนทำ หลังทำ และทำเสร็จแล้ว จึงจะเกิดเป็นกุศล การปล่อยสัตว์ควรเลือกสัตว์ที่กำลังจะถูกซื้อไปฆ่า เช่น ปลาในตลาดสด หรือสัตว์ที่ไม่ได้ถูกทรมาน ไม่เช่นนั้นหลังทำบุญไปแล้ว ต้องกลับมานั่งคิดว่า สิ่งของที่ตักบาตรไปพระจะกินหรือเปล่า จะเอาไปขายเวียนหรือไม่ หรือเมื่อปล่อยสัตว์สะเดาะเคราะห์แล้วกลับคิดว่า สัตว์เหล่านั้นทรมานหรือเปล่า ใครจะจับมาขายซ้ำหรือไม่ ความรู้สึกเหล่านี้จะทำให้ผู้นั้นกลายเป็นทาสของบุญทานที่ทำไป ไม่เกิดความปีติอิ่มเอิบอิ่มใจอย่างแท้จริง" อาจารย์ขวัญทองให้ข้อคิด



