ข่าว

สัมผัสชาวซูดานด้วยหัวใจ จึงรักเธอสุดใจ

สัมผัสชาวซูดานด้วยหัวใจ จึงรักเธอสุดใจ

20 พ.ค. 2555

สัมผัสชาวซูดานด้วยหัวใจ จึงรักเธอสุดใจ...โอ้..'ซูดาน' : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร

                 โอ้พระเจ้า..มีเรื่องมาเม้าท์กันอีกแล้ว...ก็เรื่องที่ผมได้ไปประเทศซูดานเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นครั้งที่ 4-5 จำไม่ได้แล้วที่ไปประเทศนี้ ทุกครั้งที่ไปก็จะต้องไปยืนอยู่ที่จุดของแม่น้ำสองสายมาประจบกันก่อนที่จะได้ไหลลงสู่ประเทศอียิปต์

                  วันนี้รู้สึกสดชื่นและแอบยิ้มทุกครั้งอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าผ่านมาหลายวันแล้วก็ตาม กับเรื่องการเดินทางไปยัง “ประเทศซูดาน” ประเทศที่ใครๆ มักจะจินตนาการถึง ภาพทะเลทราย ความแห้งแล้ง ความอดอยาก อากาศร้อนและคนผิวดำ ซึ่งมองแล้วประเทศนี้ไม่มีอะไรดีเอาเสียเลยในสายตาคนทั่วไป ยิ่งมีข่าวเหตุการณ์ฆ่ากันตายอย่างโหดร้ายทารุณที่เมืองดาร์ฟูและยังเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบันก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศซูดานและชาวซูดานกลายเป็นประเทศที่ “น่ากลัว” มากกว่า “น่าอยู่” ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ในดินแดนทวีปแอฟริกาเดียวกัน อาทิ อียิปต์ ลิเบีย เอธิโอเปีย ชาด และเคนยา

                    แต่วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่องราวที่เป็นจริงซึ่งได้สัมผัสด้วยตัวเองกับความหลากหลายของสังคมชาวซูดานและคนไทยที่ปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศนี้ ทั้งเปิดร้านกิจการใหญ่โตอย่างร้านนวดคุณวิมลสุดสวยและพนักงานนวดสุดเซ็กซี่น่ารักอีกหลายคน และคนงานทั่วไป โดยเฉพาะนักศึกษาไทยที่มาศึกษาอยู่ในประเทศแห่งนี้มาช้านาน

                  ท่านทูตชลิต มานิตยกุล ได้ให้ผมร่วมเดินทางไปกับคณะกงสุลสัญจร ซึ่งนำทีมโดยอัครราชทูต นายชัยณรงค์ กีรตยุตวงศ์ น้องกบ น้องเน เลขาสถานทูต ส่วนผมไปในตำแหน่งผู้ช่วยกงสุล ทำให้ได้รู้ซึ้งเห็นจริงสัมผัสได้ทุกอณูความรู้สึกของคนทุกกลุ่มได้อย่างดี โดยเฉพาะภาษาอาหรับที่สามารถทำให้เข้าถึงชาวซูดานอย่างถึงลูกถึงคน วันนี้จึงมีเรื่องเล่ามาฝาก

                  จะเชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่ถึงสนามบินคาร์ทูม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศซูดานทุกอย่างเหงา เงียบ เรียบง่ายและดูจะชักช้าเนิบนาบอันเป็นแบบฉบับการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ตรวจคนเข้าเมือง แต่รอยยิ้มมีไมตรีเหลือเกินสัมผัสได้ตั้งแต่ ผมพูดว่า “อัสสลามูอาลัยกุม” และต่อด้วย “ซอบาฮุ้ลคีร” เป็นการทักทายสวัสดีในตอนเช้า

                   รอยยิ้มเห็นฟันขาวสะอาดตัดกับริมฝีปากที่หนาและดำอย่างเห็นได้ชัด การพูดจาทักทายภาษาเดียวกันแม้จะต่างสำเนียงหรือคำบางคำแต่สื่อสารกันเข้าใจ และได้รับการดูแลอย่างดี เมื่อเจ้าหน้าที่กงสุลกิตติมศักดิ์ได้เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม เธอคนนี้ชื่อ นางสาวนาดา อาบูฮัจย์ ตำแหน่งรักษาการหัวหน้าสถานทำการกงสุล ที่ทำหน้าที่แทน นายญามัล อิลนีฟัยดี ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว

                  ทันทีที่พบกัน เธอก็บอกเล่าเก้าสิบเรื่องต่างๆ นานา เพราะเป็นคนสนิทกับผมมากด้วยความเป็นกันเองและนิสัยคล้ายคนไทยที่สุด ในครั้งนี้โชคดีมี “พี่หญิง” ซึ่งพักอยู่บ้านไทย เขตบาฮารี แชมบัด  รู้จักกันในหมู่คนไทยว่า พึ่งพาอาศัยได้ในยามมีปัญหาและคอยช่วยประสานงานกับกงสุลไทย บ้านของคนไทยกลุ่มนี้ปักหลักทำงานรับจ้างก็จริง แต่มีน้ำใจคอยให้การช่วยเหลือคนไทยในซูดานด้วยดีเสมอมาโดยเฉพาะ อาบัง หนุ่มมุสลิมจากภาคตะวันออก ผู้มีฝีมือทำอาหารไทยให้ทานทุกครั้งที่มาซูดาน

                  ทันที ที่ออกเดินทางออกจากสนามบินคาร์ทูม สิ่งแรกที่ได้เห็นคือความเป็นระเบียบ เรียบง่ายบนท้องถนนไม่มีเสียงรบกวนให้น่ารำคาญอย่างท้องถนนในอียิปต์ประเทศที่ผมอาศัยอยู่ การขับรถมีระเบียบวินัย ตำรวจจราจรดูภูมิฐานและจริงจังในการปฏิบัติหน้าที่ ท้องถนนสะอาดสะอ้าน ป้ายทุกสถานที่ไม่มีชำรุด สถานที่ต่างๆ ดูสะอาดเรียบร้อย ผมนึกสบถในใจเลยว่า “ชาวซูดานแม้หน้าตาไม่หล่อไม่สวย แต่ความสะอาดและมารยาทชนะชาวอียิตป์ด้วยคะแนนท่วมท้นเลยทีเดียว” บ้านเรือนสองข้างทางหรือแม้แต่ตึกต่างๆ ก็มีสีสันสดใสแตกต่างกันไปช่างขัดกับใบหน้าและสีผิวของคนประเทศนี้จริงๆ ทุกอย่างดูแปลก และดูเป็นเอกลักษณ์เด่นเช่นให้ประเทศซูดาน โดยเฉพาะต้นควินิน คล้ายต้นสะเดาแถวๆ บ้านเรา มีให้เห็นทุกซอกทุกมุมและทุกสถานที่ 

                  ที่สำคัญที่สุดก็คือเกือบจะทุกต้นเลยจะเป็นที่ขายน้ำชาขนาดเล็กของผู้หญิงวัยกลางคนไว้ให้บริการผู้คน ซึ่งนั่งกับพื้นดินมีเพียงก้อนหินไว้เป็นที่นั่งหรือไม่ก็เก้าอี้ จะว่าไปแล้วเท่าที่สังเกตอย่างใกล้ชิด ชาวซูดานทั้งหญิงและชาย จะมีผิวดำเป็นมัน ร่างสูง ผมหยิก สวมเสื้อเชิ้ตเก่าๆ กางเกงบูติกแบบสบายๆ หรือไม่ก็ชุดโตบสีขาว ผ้าขาวโพกอยู่บนศีรษะ น้อยนักที่จะเห็นใส่กางเกงยีนและแต่งตัวทันสมัยด้วยผมทรงแปลกๆ อย่างประเทศอื่นที่เขาทำกัน 

                  สำหรับผู้หญิงที่นี่ นอกจากนักศึกษาที่แต่งตัวสมัยใหม่ตามแฟชั่นแต่ไม่รัดรูปเกินงามแล้วจะแต่งด้วยชุดผ้าคลุมหลากสีทั้งชุด บ้างก็สวมกางเกงแต่ไม่รัดรูป อย่างหนึ่งที่ผมค้นพบสาวซูดานส่วนใหญ่ใบหน้าไม่สวยก็จริง แต่ถ้าเจอที่สวยแล้วก็ต้องตะลึงสะดุ้งกันเลยทีเดียว เพราะใบหน้าคมคาย คางแหลม ตาโต คิ้วดกดำ ริมฝีปากบาง ส่งยิ้มหวานมาแต่ละที (ยิ้มกับคนอื่น) ทำให้เห็นไรฟันขาว โอ...ให้ตายซิ... ช่างหวานหยดย้อย จนต้องหันกลับไปมองอย่างไม่น่าเชื่อ นี่หรือที่เขาเรียกว่า “ใบหน้าหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า”

                  ยามค่ำคืนของประเทศนี้ ถนนจะเงียบกริบ มีเพียงแสงไฟของรถที่แล่นไปมา แต่เสียงไม่ค่อยจะมี ตลอดการเดินทางกลับจากทำงาน ผมแทบไม่เห็นร้านอาหาร หรือผับบาร์ ที่มีผู้หญิงผู้ชายเดินคลอเคลียกันแบบที่ผมเคยเห็นในอียิปต์ หรือที่เมืองไทย ที่นี่จะมีแต่แสงไฟบนท้องถนน และร้านอาหาร มีเพียงแสงไฟนีออนสีขาว ไม่มีแม้แต่แสงสีสลัวๆ เรียกอารมณ์ให้โรแมนติก

                    เมื่อถึงโรงแรมที่พักผมรีบออกมาเดินเล่นและได้โอกาสนั่งคุยกับชาวซูดานรวมถึงคนขับรถของเรา ก็ได้รู้ว่า ประเทศซูดานเป็นประเทศที่ไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ความหายนะทางพื้นฐานของจิตใจ และธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างขึ้น อย่างเช่นการเปิดบาร์คลับที่มี การขายเหล้าเคล้านารี การใช้แสงสีในร้านต่างๆ และการใช้ชีวิตอย่างไม่มีศาสนา โดยเฉพาะผู้หญิงกับผู้ชายที่ดูจะเป็นเรื่องที่พวกเขาให้ความสำคัญ และเคร่งครัดในศาสนาอย่างจริงจัง 

                  คงเป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ ผมแทบจะไม่มีเวลาคิดเรื่องอย่างว่าเลย เพราะการแต่งตัวที่มิดชิดของผู้หญิง การวางตัวและการเป็นอยู่ที่แสนจะธรรมดาแบบเรียบง่าย ไม่เล่นลิ้นเล่นหูเล่นตา ไม่ว่าจะบนถนน ร้านขายของ หรือตามที่ต่างๆ ชาวซูดานคิดแค่เพียงว่า “ลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านในช่วงฤดูร้อนคือแอร์จากพระเจ้าส่งมา การที่พวกเราอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่การไม่พัฒนาแต่เป็นการรำลึกถึงพระเจ้ากับสิ่งที่พระเจ้าให้มาดีกว่าไปอยู่ในแหล่งที่ที่เขาว่าเจริญแต่ลืมสิ้นถึงพระเจ้า” ผมฟังแล้วก็รู้สึกอึ้งไปเลย...สุดยอด

                  อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพึงระวังสำหรับคนไทยเราคือเรื่องการถ่ายรูป คนขับรถแอบกระซิบบอกผมว่าอย่าถ่ายรูปผู้หญิงเด็ดขาด เพราะการถ่ายรูปผู้หญิงถ้าเกิดถูกชาวซูดานจับ หรือผู้หญิงไม่ยินยอม เป็นต้องคดีกันเลยทีเดียว เรื่องนี้ต้องพึงระวัง ผมจึงมีแค่ภาพตึก วิว เสียเป็นส่วนใหญ่เพราะไม่อยากติดคดีให้เป็นขี้ปากอายชาวบ้านนะซิ  

                  ตอนที่เปิดให้บริการคนไทยทำหนังสือเดินทางใหม่ ผมโชคดีได้พบกับผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ซึ่งแต่งงานกับหนู่มซูดานมีลูกด้วยกัน 3 คน ผมน้ำตาคลอเบ้าเลย เมื่อตอนที่ผมถามว่าแต่งงานกับคนซูดานเป็นไงบ้างครับ คำตอบที่ได้คือรอยยิ้มจากผู้หญิงโดยไม่มีคำพูดใดๆ ผมหันไปถามผู้ชายเป็นภาษาอาหรับ คำตอบที่ได้คือรอยยิ้มและการเอื้อมมือไปจับที่ผ้าคลุมผมของภรรยาด้วยความทะนุถนอมแววตาที่เขาส่งถึงกัน ผมนิ่งแล้วยิ้มให้อย่างเข้าใจ นี่แหละเสน่ห์ผู้ชายซูดาน ที่ใครๆ ก็รู้ว่าคือความนิ่มนวลเอาใจและรักจริง ความรักจึงมองข้ามสีผิว ชนชาติและฐานันดรจริงๆ

                  ระหว่างการเดินทางมาครั้งนี้ นอกเหนือจากได้เจอและพูดคุยกับชาวซูดานแล้วยังได้เจอะเจอกับคณะกรรมการบริหารสมาคมนักศึกษาไทยฯ และได้พูดคุยกันถึงเรื่องของการประสานงานสร้างความเข้าใจในกิจกรรมของชมรมนักศึกษาไทยฯ ที่จะมีขึ้นในปีนี้ นายวันฆอซาลี ปะดุกา ประธานชมรมฯ ซึ่งเป็นคนจังหวัดสตูล เล่าว่าขณะนี้ มีนักศึกษาไทยในซูดานนั้น 220 คน ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย เพราะค่าครองชีพที่นี่แพงมาก ค่าเช่าบ้านก็สุดจะโหดเกินบรรยาย แต่นักศึกษาไทยก็ยังเดินทางมาศึกษากันทุกปี

                  อย่างอื่นผมอาจไม่รู้รายละเอียด แต่อย่างหนึ่งที่รู้อย่างชัดเจนและขอเฟิร์มว่า นักศึกษาไทยในซูดานส่วนใหญ่พูดภาษาอาหรับได้ดีมาก ทั้งการสื่อสาร การเรียนการสอน เนื่องด้วยชาวซูดานส่วนใหญ่จะพูดสำเนียงใกล้เคียงกับภาษากลาง ต่างจากชาวอียิปต์ที่ใช้ภาษาพื้นเมืองซึ่งแตกต่างจากภาษากลางมากและไม่ค่อยใช้ภาษากลางเท่าที่ควร นี่คือผลดีของประเทศซูดานที่มอบให้นักศึกษาไทย 

                  นักศึกษาไทยส่วนใหญ่จะเข้ารับการศึกษาในมหาวิทยาลัยแอฟริกันนานาชาติ มหาวิทยาลัยอัลกุรอาน มหาวิทยาลัยอุมดุรมานอิสลามียะห์ มหาวิทยาลัยวาดิลเนล  มหาวิทยาลัยจูบา  มะฮัดคูรทูม อัดดูวาลี และสถาบันสอนภาษาของมหาวิทยาลัย  ฟังแล้วคงมีเรื่องราวให้เล่าอีกหลายมุมเลยทีเดียว

                  กลับจากพูดคุยกับประธานนักเรียนก็ได้ไปบ้านไทย เชื่อไหมว่า อาแบ หนุ่มมุสลิม นิสัยดีทำอาหารเลี้ยงด้วยรสชาติไทยแท้ ทำเอาลืมว่าอยู่ประเทศซูดานไปเลยคนอะไรทำอร่อย “หรอยอย่างแรง” จนต้องยกนิ้วให้ไปเลย แถมยังได้พบกับพี่หญิงและคนไทยรวมถึงทหารไทยที่มาอยู่กับหน่วยยูเอ็นอีกด้วย

                  พี่หญิง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการช่วยประสานงานกับผมมาตลอดทั้งตอนอยู่อียิปต์และซูดาน และคุณนาดา รักษาการแทนกงสุลกิตติมศักดิ์ ซึ่งเล่าว่า คนงานไทยทั่วซูดานขณะนี้มีอยู่ 35 คน ร้านนวดไทยคุณวิมล 20 คน บ้านไทย 4 คน ร้านนวดจีน 5 คน พนักงานขับรถเครน 3 คน คนงานบ้านกงสุล 2 คน

                  ขณะนั่งกินข้าวตอนค่ำกันอยู่ ก็ได้พูดคุยกับพี่หญิงและคุณนาดาเรื่องทั่วไป คุณนาดาแอบกระซิบตอนพี่หญิงไม่อยู่ว่า พี่หญิงมาอยู่ซูดานเป็นเวลา 8 ปีแล้ว อยู่จนรักและเข้าใจภาษาอาหรับ แม้จะตัวเล็กๆ พี่หญิงบอกอย่ามาหลอกฉันนะ ทำเอาผมขำกลิ้งไปเลย

                  ข้อคิดดีๆ สำหรับวันนั้น คือ ประเทศซูดานเป็นประเทศที่ใครๆ อาจมองว่าไม่น่าอยู่ แต่จริงๆ แล้วประเทศนี้ น่าอยู่ คนน่าคบ จริงใจ และปลอดภัยกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะประเทศนี้เขาเคร่งแต่เคร่งในเรื่องที่ไม่ปนกับเรื่องการเมืองหรือเรื่องอื่นๆ แต่อย่างใด ให้เกียรติคนต่างชาติ แต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองไปตามชาตินั้นๆ พอใจในความเป็นประเทศตัวเอง การที่คนไทยจะเดินทางมาทำงานก็ต้องศึกษาภูมิประเทศของเมืองที่จะไปทำงาน สภาพอากาศ โรคระบาด นิสัยใจคอ กฎหมายท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด

                  มิฉะนั้น ประโยคนี้จะศักดิ์สิทธิ์ตลอดไป “หากจะมาทำงานที่ประเทศซูดานให้นำเชือกมาพร้อมด้วย เพื่อผูกคอตาย” ประโยคนี้ คงเด็ดพอที่จะทำให้ทุกคนที่จะเดินทางมายังประเทศนี้เพื่อขุดทองโดยไม่รู้แหล่ง เป็นคำเตือนของพี่หญิง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่นั่งคุยกันไปกินกันไปและปิดท้ายด้วยประโยคสุดขำ ตามที่ผมนึกไว้ไม่มีผิด “ชาวซูดานส่วนมากขี้เกียจสันหลังยาว และเชื่องช้าที่สุด ไม่ได้ดั่งใจเลย ขอบอก” ด้วยการสังเกตคนขับรถของเราเองแม้จะดีแสนดี แต่ก็ขี้เกียจอย่างเห็นได้ชัด แต่ต้องทำเพราะหน้าที่นั่นเอง

                  มาซูดานครั้งนี้ได้สัมผัสหลายรูปแบบอย่างเห็นได้ชัดเจน สรุปแบบฟันธงว่า ซูดานเป็นประเทศที่เงียบ เรียบ ติดดิน ติดธรรมชาติ แม้จะมีการมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความคิดและอุดมการณ์ของผู้นำในแต่ละสมัย แต่ชีวิตจริงๆ ของชาวซูดานไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามไปเลย เพราะชีวิตที่มีศาสนาเข้มข้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาเข้มข้นกว่ากฎหมายต่างๆ ที่มนุษย์หรือว่าใครสร้างขึ้น  แต่ถ้าได้มาสัมผัสชีวิตคนที่นี่จริงๆ โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างคาร์ทูม ก็จะเห็นได้ว่าทุกคนใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ สบายๆ อาหารการกินสมบูรณ์ เนื้อแพะ เนื้อแกะ อีกสารพัดอย่างสมบูรณ์จริงๆ

                   ผมเริ่มจะเอะใจกับ “สื่อ” เสียแล้วหรือไม่ก็พวกที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับผู้นับถืออิสลามแล้วตีไข่ใส่ความไปด้วยอารมณ์ความคิดของตัวเองให้ประเทศนิ่งๆ ไม่ตามกระแสโลกให้กลายเป็นประเทศที่น่ากลัว ไม่มั่นคง ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงต่างกันสิ้นเชิง

                   สิ่งนี้เองที่น่าจะเป็น “ปัญหา” ที่ทำให้ประเทศที่น่าอยู่  น่ารัก ให้กลายเป็นประเทศที่น่ากลัวไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ประเทศแห่งนี้เต็มไปด้วยความเป็นมิตร กันเอง และการเป็นอยู่อย่างง่ายๆ สบายๆ บางครั้งอาจจะสบายเกิน พอใจในสิ่งที่ตัวเองเกินไปก็เป็นได้ จึงเป็นคำพูดของคนไทยเมื่อมาที่นี่ว่า “...โอ้ยยยย ไม่ล้ายยย หลังใจ ชิงงงงง”


........................................
(สัมผัสชาวซูดานด้วยหัวใจ จึงรักเธอสุดใจ...โอ้..'ซูดาน' : คอลัมน์เปิดโลกวันอาทิตย์ : โดย...ดลหมาน ณ ไคโร)