เล่งเน่ยยี่:เมื่อศรัทธาสู้นายทุน | คมชัดลึก

          "วัดมังกรกมลาวาส" หรือชื่อเดิมว่า "วัดเล่งเน่ยยี่" ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 ตั้งอยู่ในพื้นที่ 4 ไร่ 18 ตารางวา เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวชุมชนคนไทยเชื้อสายจีนมายาวนานกว่า 140 ปี และยังเป็นสถานที่ที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เคยเสด็จฯ มายังวัดแห่งนี้

          พิสิทธิ์ชนนท์ นิวัฒนากุล กรรมการวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) ย้อนความหลังถึงความสำคัญของวัดแห่งนี้ว่า มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนเสื่อมใสศรัทธา แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่คนบางคนสัมผัสได้ เมื่อมาสักการะแล้วเกิดความรู้สึกสบายใจ ปัจจุบันวัดแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่ชาวจีนแท้ๆ อย่างเมื่อก่อน แต่มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศทุกเชื้อชาติแวะเวียนมาด้วยแรงศรัทธาอย่างไม่ขาดสาย

          "วัดแห่งนี้สั่งสมบุญบารมีมาเป็นร้อยปี จากปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาเกิดความซึมซับศรัทธา ทุกคนที่มาที่วัดจะเกิดความสบายใจ เหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ ห้อมล้อมไปด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพระประธานเป็นองค์ประธาน มีพระโพธิสัตว์ มีเหล่าธรรมบาลที่ปกป้องดูแลศาสนา มีทวยเทพต่างๆ เปรียบเสมือนสวรรค์บนดินของเรา" พิสิทธิ์ชนนท์กล่าว

          ความสำคัญและคุณค่าอีกสิ่งที่วัดแห่งนี้ยึดโยงความศรัทธาผู้คนไว้คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่เสด็จฯ มายังวัดแห่งนี้ จะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาเฝ้ารอรับเสด็จ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ทอดพระกฐิน และที่เป็นความทรงจำของชาวบ้านคือวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดตึกพิพิธภัณฑ์วัตถุธรรม "หอพิพิภัณฑ์วัตถุธรรม วัดมังกรกมลาวาส" และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญอักษรพระปรมาภิไธย "ภปร" ประดิษฐานที่พระกริ่งไวโรจนพุทธะ เมื่อปีพ.ศ.2521 และเสด็จฯ มาทรงทอดผ้าพระกฐิน เมื่อปี พ.ศ. 2535

          แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่โดยรอบวัดเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่พื้นที่ภายในวัดยังคงเหมือนเดิม มีพระสงฆ์จำวัดอยู่ ซึ่งวัดเล่งเน่ยยี่ 1 นั้นการบวชที่นี่เหมือนเป็น "ภูเขาบู๊ลิ้ม" ฝึกวิทยายุทธ์ทางด้านจิตใจด้วย ที่พระสงฆ์และเณร ที่จะฝึกจิตใจในการเอาชนะมารในใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็มีชาวไทยเชื้อสายจีนขาประจำที่จะมาทำวัตรเย็นในเวลา 4 โมงเย็น "อังคณา" วัย 69 ปี บอกต่อ "คม ชัด ลึก" หลังเสร็จจากทำวัตรเย็นว่า ป้าเกิดและโตอยู่บริเวณนี้ เดินจากบ้านมาที่วัดใช้เวลา 5 นาที รู้จักวัดแห่งนี้ตั้งแต่ยังเด็กๆ เพราะพ่อแม่พามาไหว้ขอพรในสมัยเด็กๆ มาไหว้ทำบุญวันเกิดและไหว้ตามเทศกาลต่างๆ แต่สมัยสาวๆ ป้าไม่ได้มาบ่อยๆ เพราะต้องทำงาน ตอนนี้อายุมากขึ้นตอนเย็นไม่ได้ทำอะไร ก็เดินมาที่วัดเพื่อสวดมนต์ทุกวัน

          "ตรงนี้มันก็ใกล้บ้าน แถมตอนเย็นไม่ได้ทำอะไรเราก็เดินมาตอนนี้ ไปไหนไกลก็ลำบาก มาวัดแล้วทำให้เราสบายใจ และเกิดความรู้สึกผูกพัน มาแล้วสบายใจ มีความคิดที่มีแต่ให้มากขึ้น ส่วนการคิดว่าการสร้างโรงแรม ก็มองว่าไม่เหมาะสม" อังคณา กล่าว

          ไม่ต่างกับ อภิญญา สุติญญามณี วัย 72 ปี ยอมรับว่า เริ่มผูกพันและศรัทธามาที่วัดบ่อยๆ ตั้งแต่อายุ 36 ปี พาลูกๆ มาไหว้พระ มาร่วมกิจกรรมที่ทางวัดจัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานวันตรุษจีน วันเทกระจาด อย่างเทศกาลกินเจเมื่อ 36 ปีที่แล้ว มีการโปรยสตางค์ ก็ยังเก็บไว้เป็นเงินขวัญถุงอยู่ทุกวันนี้ รวมถึงการมาเฝ้ารอรับเสด็จ ที่ถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างมาก แม้ว่าตอนนี้จะย้ายบ้านไปอยู่แถวหนองจอกแล้ว ก็ยังแวะเวียนมาที่วัดอยู่บ่อยๆ เพราะมาแล้วสบายใจ

          ส่วน  วสันต์ อารักษ์กุล วัย 58 ปี เจ้าของร้านขายยา ไม่ไกลจากวัดเล่งเน่ยยี่ บอกว่า ศรัทธาที่ชาวบ้านแถวนี้มีนั้นเป็นการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จากที่พ่อแม่พาเราไปไหว้ตอนเด็กๆ  ส่วนเราก็ตามเทศกาลจะเข้าวัด มันก็มีความรู้สึกผูกพัน มักเข้าไปขอพร แม้จะขายไม่ดีก็ต้องไปไหว้ ขายดีก็ต้องไปขอบคุณ ไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว รวมถึงการค้าขายด้วย การค้าขาย เราก็ผูกพันกันมาตลอดเป็นอย่างนี้มาทุกๆ ปี

          "แต่สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัวที่สุด คือการได้มีโอกาสเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในปี 2535 ผมมองว่าในความรู้สึกของคนไทยเชื้อสายจีน สถาบันพระมหากษัตริย์และศาสนา ทั้งสองสิ่งนี้สร้างความปีติให้กับพวกเรา เมื่อปีที่ผ่านมาสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ  สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ มายังวัดเล่งเน่ยยี่ คุณแม่วัย 96 ปี ก็ได้มีโอกาสออกไปรับเสด็จครั้งที่ผ่านมาด้วย" วสันต์ บอกพร้อมโชว์รูปประทับใจ

..........................

(รายงานพิเศษ : วัดเล่งเน่ยยี่ : เมื่อศรัทธา 'ต่อสู้' กับนายทุน : ทีมข่าวรายงานพิเศษ)