ข่าว

'แพง'แปลว่า'แพง'

'แพง'แปลว่า'แพง'

06 พ.ค. 2555

วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : 'แพง'แปลว่า'แพง' โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected]

                 อ่านข่าวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์เรื่อง “ของแพง” ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา และส่วนหนึ่งเป็นเพราะประชาชนคิดไปเองว่า “แพง” ประมาณว่า เป็นเรื่องของ “ความรู้สึก” อ่านแล้ว ฟังแล้วไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะเรื่องสินค้าราคาแพงเป็นเรื่องที่จับต้องได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะคิดไปเองหรือรู้สึกไปเอง

                  อาจจะเป็นไปได้ที่นายกฯ หรือกระทรวงพาณิชย์ มองในแง่เปรียบเทียบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการปรับรายได้ขั้นต่ำต่อวันเป็น 300 บาท แต่ต้องไม่ลืมว่า ในเฟสแรกมีการปรับเพียงแค่ 7 จังหวัด หรือต่อให้เฟสต่อๆ ไปปรับขึ้นเหมือนกันทั้ง 77 จังหวัด ก็ไม่ได้หมายความว่า ประชาชนทุกคนในประเทศนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะมีมนุษย์เงินเดือนไม่รู้กี่ล้านคนที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการปรับค่าแรงเพิ่มขึ้น แต่ “ทุกคน” ต้องรับผลกระทบจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

                  ถ้ารายได้ของเราเท่าเดิม แต่ต้องจ่ายค่าสินค้าในราคาเพิ่มขึ้น แบบนั้นก็เรียกว่า “แพง” ได้แล้ว

                  เคยมีคุณผู้ฟังโทรศัพท์มาถามในรายการ “เงินทองต้องรู้” ว่า เวลาเดินทางไปต่างประเทศ สังเกตว่า สเกลเงินบาทเล็กลง สรุปว่า “ค่าครองชีพของไทยแพง” ถูกต้องหรือไม่ คุณวีระ ธีรภัทร ตอบไว้ในรายการอย่างน่าสนใจว่า ถ้าจะเทียบว่าถูกหรือแพง ก็ต้องเทียบรายได้และค่าใช้จ่ายของแต่ละประเทศ

                  คุณวีระบอกว่า รายได้ของคนจบปริญญาตรีที่ญี่ปุ่น น่าจะอยู่ในราว 8 แสนถึง 1 ล้านเยน หรือประมาณ 2-3 แสนบาทต่อเดือน ในขณะที่รายได้ของคนจบปริญญาตรีในอเมริกา จะอยู่ในราว 1-1.5 พันดอลลาร์ หรือประมาณ 4-5 หมื่นบาทต่อเดือน ส่วนปริญญาตรีแบบไทยจะอยู่ที่ 1.2-1.5 หมื่นบาทต่อเดือน

                  รายได้แบบไทย เมื่อใช้จ่ายแบบญี่ปุ่นหรืออเมริกา หรือแม้กระทั่งแบบยุโรป ก็ย่อม “แพง” เป็นธรรมดา ในขณะที่คนญี่ปุ่น หรือคนอเมริกัน รวมถึงยุโรป ซึ่งฐานรายได้แบบนั้น เมื่อมาใช้จ่ายในเมืองไทย ก็ย่อม “ถูก” เป็นธรรมดาอีกเช่นกัน

                  ดังนั้น ก็ต้องกลับมาดูฐานรายได้แบบไทย และค่าใช้จ่ายแบบไทย จึงจะบอกได้ว่า แพงหรือไม่แพง ซึ่งก็ต้องกลับไปเกริ่นไว้ข้างบนว่า ถ้ารายได้เท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ก็ต้องถือว่า “ของแพง” ขึ้น หรือแม้แต่กรณีที่รายได้เพิ่มขึ้น แต่เพิ่มไม่มากเท่ากับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ก็ต้องถือว่า “แพง” เช่นกัน

                  ไม่ต้องดูใกล้ดูไกล อย่าง “ค่าไฟฟ้า” ที่อยู่ๆ ค่าเอฟที ซึ่งเป็นต้นทุนผันแปรในการคำนวณค่าไฟก็เพิ่มขึ้นมาอีกหน่วยละ 30 สตางค์ เช่นเดียวกับค่ารถโดยสารสาธารณะ ทั้งหลายทั้งปวงมาจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น และกลายเป็น “ต้นทุน” สำคัญที่ทำให้สินค้าหมวดอื่นที่จำเป็นต้องการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอาหาร ต้องปรับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย

                  ในเมื่อหลายคนมีรายได้เท่าเดิม ขณะที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเตรียมรับมือ คุณวสุ ศรีธิมาสถาพร ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย แนะนำเรื่องของการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ ที่มาจากการปรับตัวของค่าครองชีพที่สูงขึ้นว่า ประการแรก คือ ต้องทำบันทึกรายรับรายจ่าย

                  เขาแนะนำว่า หากเงินออมในแต่ละเดือนเคยหมดไปกับค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า และข้าวของจำเป็นอื่นๆ แล้ว แนะนำให้เริ่มตั้งเป้าหมายในการเก็บออมในแต่ละเดือนให้ได้อย่างน้อย 10% ของรายได้ทุกเดือน หรือออมให้ได้อย่างน้อย 20% สำหรับผู้ที่ไม่มีภาระหนี้สิน หรือมีหนี้สินน้อย หมั่นจดบันทึกรายการรับจ่ายทุกวันให้ติดเป็นนิสัย วิธีดังกล่าวจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ และสรุปผลได้ว่ารายรับในแต่ละเดือนหมดไปกับค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นประเภทใดบ้าง

                  จากนั้นก็ให้นำเงินสดสภาพคล่องส่วนเกินบางส่วน มาเก็บไว้ในกองทุนรวมประเภทตลาดเงิน เพราะนอกจากการออมเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์ และฝากประจำทั่วไปแล้ว ควรนำเงินสดสำรองสำหรับภาระการเงินในอนาคตอันใกล้ที่มีระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี มาเก็บไว้ในกองทุนเปิดประเภทตราสารหนี้ระยะสั้น เนื่องจากกองทุนดังกล่าวมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามดอกเบี้ย ซึ่งมักมีทิศทางเดียวกันกับอัตราเงินเฟ้อ พร้อมทั้งจัดสรรบางส่วนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เอาชนะเงินเฟ้อได้

                  นอกเหนือจากเรื่องการจัดสรรเงินลงทุนแล้ว ข้อสำคัญที่สุดคงอยู่ที่ การตั้งเป้าหมายให้แน่วแน่ และทำให้ได้ตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากการวางแผนการเงินไม่ได้เกิดขึ้น เพราะเรื่องเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเรามีเป้าหมายการเงินที่ชัดเจน เช่น ตั้งใจเก็บเงินไว้เพื่อใช้หลังเกษียณอย่างสุขสบาย เพื่อเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือไว้เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้บุตรในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าเงินเฟ้อมีผลกระทบต่อต้นทุนการดำรงชีพมากน้อยเพียงใด ถ้าเรารู้จักออมหรือลงทุนได้อย่างมีวินัยสม่ำเสมอ เชื่อว่านอกจากจะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อแล้ว เรายังสามารถบรรลุเป้าหมายการเงินที่วางไว้ และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

                  ขออนุญาตเพิ่มเติมจากที่คุณวสุได้แนะนำ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีรายจ่ายเพิ่ม แต่รายได้ไม่เพิ่ม อย่าลืม “ฟรีซ” รายจ่ายของคุณไว้ อย่าสร้างหนี้หรือภาระเพิ่มเติมในช่วงเวลาเช่นนี้ พยายามรักษาระดับของรายจ่ายให้สม่ำเสมอมากที่สุด เพราะต้องเผื่อรายจ่ายฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด รวมถึงพยายามลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น กลับไปสู่จุดที่คุณวีระย้ำนักย้ำหนาว่า “มีน้อย ใช้น้อย มีมาก ใช้น้อย” ส่วนใครมีความสามารถในการหารายได้เพิ่มได้ ซึ่งยากกว่าการลดฝั่งรายจ่าย ก็ถือว่าเป็นโชคอันประเสริฐ

                  อย่าไปประมาทมองว่า “ของแพง” เป็นมายา เพราะจะทำให้การวางแผนรับมือผิดพลาด ในเมื่อ “แพง” แปลว่า “แพง” ก็ต้องเตรียมรับมือแบบแพงๆ

................................
(วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน : 'แพง'แปลว่า'แพง' โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล [email protected])