ข่าว

ธุรกิจมวย กับหมาล่าเนื้อ

ธุรกิจมวย กับหมาล่าเนื้อ

17 เม.ย. 2555

ธุรกิจมวย กับหมาล่าเนื้อ : ขมน้ำตาล โดย... พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ

          กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดกับ "บัวขาว  ป.ประมุข" นั้น เป็นกรณีที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับวงการมวยเมืองไทย หรือจะบอกว่าเกิดขึ้นกับวงการกีฬาและบันเทิงไทยตลอดมาก็ว่าได้  แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้น คนในสังคมนั้นๆ กลับหันไปใช้วิธีการ “เคลียร์” โดย “กาวใจ” ซึ่งล้วนเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมาย แต่กลับบอกกันว่าถูกคลองธรรม ทำให้ปัญหาลักษณะดังกล่าวเกิดซ้ำซากครั้งแล้วครั้งเล่า
 
          ธุรกิจมวยไทยในส่วนของผู้เป็นเจ้าของค่ายกับตัวนักมวยก็คือ พ่อแม่หรือผู้ปกครองพานักมวยมาฝากไว้ตั้งแต่ยังไม่มีใครรู้จัก นับตั้งแต่วันนั้นหัวหน้าคณะมีหน้าที่ฟูมฟักสั่งสอนนักมวย รวมไปถึงมีหน้าที่หาเงินมาเลี้ยงดูให้ที่อยู่ที่กิน และหาค่าเรียนหนังสือส่งเสียนักมวยทุกคนในค่ายภายใต้คำว่า “ฟรี” 
 
          ระยะเริ่มต้นของนักมวยหน้าใหม่ทุกคนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีโอกาสได้ขึ้นชก หัวหน้าคณะต้องมีบารมีและเส้นสายกับเหล่าโปรโมเตอร์มากพอ และต้องลงทุนพานักมวยเดินสายไปตระเวนชกอย่างสม่ำเสมอ  โดยที่ค่าตัวของนักมวยไม่พอแม้แต่ค่าน้ำมันรถที่พาไปยังเวที แต่ก็ต้องลงทุน เพื่ออนาคตของตัวนักมวยเองและชีวิตอื่นๆ ในค่าย ดังนั้น อย่าว่าแต่สัญญาหักค่าตัวกันในระดับครึ่งต่อครึ่งเลย แม้แต่บาทเดียวก็ยากที่จะเหลือให้หัก กว่าที่ค่าตัวของนักมวยจะมีพอให้หัวหน้าคณะหักมาเป็นค่าใช้จ่ายได้ ก็ต้องมีค่าตัวในการชกแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูนักมวยหน้าใหม่อื่นๆ ในค่าย
 
          ลองคิดดูว่าในค่ายมวยแต่ละค่ายมีนักมวยไม่น้อยกว่ายี่สิบคน หากมีนักมวยที่ชกแต่ละครั้งได้ค่าตัวระดับหนึ่งหมื่นบาทอยู่เพียงแค่สองคน ซึ่งตามกฎหมายอนุญาตให้นักมวยแต่ละคน ขึ้นชกได้ไม่มากไปกว่ายี่สิบเอ็ดวันต่อหนึ่งครั้ง เท่ากับว่านักมวยค่าตัวหนึ่งหมื่นบาทได้ขึ้นชกประมาณเดือนละหนึ่งครั้ง หัวหน้าคณะหักได้คนละห้าพันบาท เท่ากับมีรายได้หนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนมาเลี้ยงดูคนอื่นๆ อีกยี่สิบชีวิต ย่อมแน่นอนว่าหากหัวหน้าคณะไม่มีรายได้จากการเล่นพนันมวยหรือจากธุรกิจอื่นๆ รายรับเท่าที่กล่าวมาย่อมไม่มีทางที่จะดำเนินกิจการค่ายมวยต่อไปได้อย่างแน่นอน
 
          กว่าที่หัวหน้าคณะนักมวยจะมีรายรับจากส่วนแบ่งค่าตัวของนักมวยคนหนึ่ง มาพอเลี้ยงนักมวยคนอื่นในค่ายได้ด้วย ก็ต้องมีนักมวยที่ได้รับค่าตัวการชกครั้งละหนึ่งแสนบาทอยู่ในค่ายสักหนึ่งคนเป็นอย่างน้อย หรือต้องมีนักมวยที่ได้ค่าชกครั้งละหลายหมื่นบาท อยู่ในค่ายจำนวนมากจึงจะพอดำเนินกิจการได้อย่างไม่ลำบากมากนัก
 
          ดังนั้น เมื่อนักมวยมีค่าตัวจากการชกมากขึ้น จำนวนเงินที่ถูกหักตามสัดส่วนร้อยละ จึงดูเหมือนว่าถูกกินเปล่าไปเกินที่จะรับได้ พอมีคนมากระซิบให้ฉุกคิดถึงค่าตัวที่หายไป จึงมักจะเกิดความเสียดายและรู้สึกว่า “ไม่น่าเสียเปล่า” การแหกหนีออกจากค่าย จึงเกิดขึ้นทำให้เป็นปัญหาตามมา โดยลืมนึกถึงตอนแรกที่ตนเองถูกพ่อแม่พามาฝากไว้ หรือตอนที่ยังมีค่าตัวจากการชกไม่พอค่าข้าวที่ต้องกินไปวันๆ
 
          ปัญหาดังกล่าวแก้ไขได้ไม่ยากหากยอมรับความเป็นอาชีพตามธุรกิจ กล่าวคือต่อไปพ่อแม่คนไหนที่อยากให้ลูกเป็นนักมวยฝีมือดี ด้วยการเอาลูกไปฝากหัวหน้าคณะนักมวย ก็มีทางเลือกสองทางคือ  หนึ่งพ่อแม่จ่ายค่าดูแลฝึกสอนให้หัวหน้าคณะตามอัตราที่กำหนด ทำนองเดียวกันกับเอาลูกไปเรียนพิเศษ กรณีนี้พ่อแม่จะพาลูกไปชกกับใครที่ไหนเมื่อไหร่ก็สามารถทำได้อิสระ
 
          กรณีที่สองถ้าพ่อแม่ไม่มีทุนที่จะจ่ายค่าฝึกสอน ก็ต้องทำสัญญามอบลูกให้หัวหน้าคณะเป็นผู้จัดการมีอายุของสัญญาระบุไว้ เช่นเดียวกับนักฟุตบอลอาชีพในต่างประเทศ หัวหน้าคณะจะขายสัญญาให้ใครก็มีสัดส่วนของรายได้ที่ต้องแบ่งกันระบุเอาไว้ หรือเมื่อนักมวยมีชื่อเสียงขึ้นมาและมีคนต้องการเอาไปประดับบารมีหรือนักมวยอยากเป็นอิสระ ก็ต้องจ่ายเงินเป็นค่าเลิกสัญญาก่อนกำหนดตามกฎหมาย 

          ทำกันได้เช่นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องหา “กาวใจ” ที่ไหนมา “เคลียร์” ให้เกิดปัญหาตามมาอีกต่อไป หัวหน้าคณะก็ไม่ต้องถูกสังคมตราหน้าว่า หากินกับหยาดเหงื่อของนักมวย ตัวนักมวยก็จะไม่ต้องถูกกล่าวหาว่า ดังแล้วเนรคุณ ครับ
.............................
(หมายเหตุ  ธุรกิจมวย กับหมาล่าเนื้อ : ขมน้ำตาล โดย... พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ)