
พท.เลิกป่วนเลือกกมธ.จบภท.คว้าปธ.คมนาคม
สภาเห็นชอบตั้ง กมธ.ประจำสภาฯ 35 คณะฉลุย!เพื่อไทยยอมยก ปธ.กมธ.คมนาคม ให้ภูมิใจไทยหลังยืดเยื้อยาวกว่า 4 เดือน ส่วนใหญ่ตำแหน่ง ปธ.กมธ.คงเดิม ปรับใหม่แค่ 3 คณะ อนุฯปฏิรูปตั้ง"ประเสริฐ ชิตพงศ์"นั่งปธ.ถกนัดแรกชี้รธน.40มีปัญหา ประพันธ์ชูสนธินั่งหน.พรรคพ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณาเรื่องการเลือกกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร ตามที่ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาลเสนอเลื่อนขึ้นมาพิจารณาก่อนหลังจากค้างการพิจารณา โดยนายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย ได้เสนอรายชื่อ ส.ส.ในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย เข้าเป็นกรรมาธิการครบทั้ง 35 คณะ ซึ่งที่ประชุมได้รับรอง โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อให้การทำงานของคณะกรรมาธิการของสภาสามารถดำเนินการไปได้ ก่อนหน้านี้ทุกพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ในสภาได้เสนอรายชื่อตามสัดส่วนเสร็จเรียบร้อยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลังจากนี้แต่ละคณะกรรมาธิการจะได้นัดประชุม เพื่อเลือกประธาน และตำแหน่งต่างๆโดยส่วนใหญ่ตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการต่างๆ จะคงตามเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงเพียง 3 คณะคือประธานคณะกรรมาธิการการคมนาคม จะเป็นสัดส่วนของพรรคภูมิใจไทย ส่วนประธานคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยและประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง เป็นสัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ หลังวิปทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารือมีข้อยุติแล้วเพื่อให้งานตรวจสอบของกรรมาธิการเดินหน้าไปได้ หลังจากการเลือกกรรมาธิการสามัญประจำสภาฯได้ค้างการพิจารณามายาวนานตั้งเปิดสมัยประชุมเกือบ 4 เดือน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน ที่เสนอโดยคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและนายนิพิฎฐ์ อินทสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะ ลงมติรับหลักการด้วยเสียง 275 ต่อ 0 งดออกเสียง 13 พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 36 คนไปพิจารณาแปรญัตติตามข้อบังคับ7วัน ใช้ร่างผู้ตรวจการแผ่นดินฯเป็นหลักในการพิจารณา
อนุฯปฏิรูปตั้ง"ประเสริฐ ชิตพงศ์"นั่งปธ.ถกนัดแรกชี้รธน.40มีปัญหา
เมื่อเวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเมืองนัดแรก เพื่อเลือกตำแหน่งต่าง ๆ และวางกรอบการทำงานรวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาทางการเมือง โดยที่ประชุมเลือก นายประเสริฐ ชิตพงศ์ ส.ว.สงขลา เป็นประธาน นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร เป็นประธาน นายอนุสรณ์ ธรรมใจ เป็นเลขานุการ จากนั้นได้เปิดให้อนุกรรมการเสนอกรอบการทำงานและวิเคราะห์ปัญหาทางการเมือง
นายคณิน บุญสุวรรณ อนุกรรมการอดีตส.ส.ร. 40 กล่าวว่า ปัญหาการเมืองที่ผ่านมา มีปัญหาตั้งแต่ใช้รัฐธรรมนูญ 2540 มา 5 ปี ซึ่งพบว่า กลไกการตรวจสอบฝ่ายบริหารไม่ทำงาน เกิดการคอรัปชั่น หลักประกันสิทธิเสรีภาพไม่เป็นรูปธรรม จนเกิดรัฐประหาร จนบานปลาย เกิดปัญหาเรื่องกระบวนการยุติธรรม เสถียรภาพการเมือง การเมืองกลายเป็นสงคราม ดังนั้นจะต้องมีการแก้ไขในระดับเฉพาะหน้า เช่น แก้รัฐธรรมนูญบางมาตรา แต่ต้องอธิบายเหตุผลต่อสังคมได้ด้วย จากนั้นวางเป้าระยะกลาง คือการดูต่อยอดรัฐธรรมนูญ 40 เพื่อไปสู่ระยะยาวคือ การเมืองมีเสถียรภาพ
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อนุกรรมการ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การปฏิรูปการเมือง ด้านหนึ่งต้องศึกษาโครงสร้างทางการเมืองว่า ได้ทำตามหน้าที่หรือไม่ จะสร้างความสมดุลระหว่างสถาบันการเมืองต่าง ๆ อย่างไร ซึ่งรัฐธรรมนูญ 40 ทำให้ฝ่ายบริหารเข้มแข็งมากจนเกิดเผด็จการการเลือกตั้ง อีกด้านหนึ่งคือ ต้องหาทางแก้ปัญหาการซื้อเสียง เพราะเป็นวงจรอุบาทว์เข้าสู่การเมืองแล้วก็มาทุจริต เพราะใครจะเป็นนายกฯหรือรัฐมนตรี ต้องมีส.ส.ในสังกัด หัวหน้าสังกัดก็ต้องดูแลเงินทอง ซึ่งก็ต้องซื้อเสียง
นอกจากนี้ต้องพัฒนาวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย การเมืองภาคพลเมือง ส่งเสริมการรวมกลุ่ม ซึ่งตอนนี้มีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายของประชาชนระดับล่างในการรวมกลุ่ม และต้องให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ไม่เช่นนั้นจะเป็นอย่างกลุ่มเสื้อสีต่างๆตอนนี้ ที่มีความขัดแย้งสูงจนอาจเป็นอนาธิปไตยได้ง่าย
นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า โจทย์ของคณะอนุกรรมการน่าจะมองที่ ฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ภาคประชาชน กระบวนการยุติธรรมทั้งตำรวจ อัยการ เพื่อนำไปสู่การตรวจสอบโดยภาคนิติบัญญัติ ภาคประชาชน และภาคข้าราชการ รวมถึงสื่อ ต้องถูกตรวจสอบได้ว่า เสรีและเป็นกลางหรือไม่ เพราะหากไม่ ก็จะถูกสั่งให้ส่งข้อมูลผิด ๆ แก่ประชาชน ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาคน
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การทำงานของอนุฯ อาจรวบรวมงานวิจัยทั้งหลายมาพิจารณา และฟังความเห็นประชาชน และทำโพล เพราะประชามติใช้เงินมากและกฎหมายประชามติยังไม่เสร็จ ส่วนโจทย์การปฏิรูปตนมองว่า ต้องตั้งเป้าให้ประชาธิปไตยมีคุณภาพขึ้นและก้าวหน้า ทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรอย่างแท้จริงโดย ทำให้รัฐสภาเข้มแข็ง โดยการเลือกตั้งต้องเป็นธรรม และอีกด้านหนึ่งต้องทำให้การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง
ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ บางประเด็นนักการเมืองไม่ควรเสนอ เพราะจะดูว่า เป็นการทำเพื่อตัวเอง และควรปฏิรูปนักการเมืองและทีมงานให้มีคุณภาพเหมือนต่างประเทศ ไม่ใช่ จะโหวตอะไรก็ว่าไปตาม ๆ กันโดยไม่รู้เรื่อง นอกจากนี้ ผู้ที่กำลังขัดแย้งกัน ต้องไม่นำสถาบันมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างกัน เพราะทำให้สถาบันเสื่อม และไม่นำกฎหมายมาตราว่าด้วยการหมิ่นสถาบันมาจัดการกัน
“ระยะเฉพาะหน้าคือแก้รัฐธรรมนูญในมาตราที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นธรรม ส่วนผสมที่ดีคือเอาฉบับ 40 และ 50 มาดู แต่ไม่ใช่แก้มาตราใดเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดเป็นการเฉพาะ และต้องแก้ในมาตราที่ทำให้เปิดประตูสู่การปฏิรูป ซึ่งเป็นแผนระยะยาว เพื่อให้มีการเลือกตั้งสภาปฏิรูประเทศ และสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ ” นายอนุสรณ์ กล่าว
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อนุกรรมการ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญเป็นเพียงส่วนเล็กของการปฏิรูปการเมือง ตนขอคำแนะนำจากนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรค นายชวน บอกว่า ประเทศไทยต้องการนักการเมืองที่เข้ามาอย่างสุจริต ซึ่งทำยาก ทำให้ตนมองว่า ต้องแก้ปัญหาเรื่องวัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทย ต้องปฏิรูปคน เพื่อให้เข้าใจประชาธิปไตยตรงกัน ตอนนี้จะแก้รัฐธรรมนูญ ก็ไม่รู้ว่า เพื่อทำให้เป็นประชาธิปไตยแบบของใคร หากปรับรัฐธรรมนูญให้เข้ากับคน คงต้องแก้เรื่อย ๆ เพราะคนไทยไม่มีหลัก
นายประกิจ พลเดช อนุกรรมการ กล่าวว่า โจทย์ตอนนี้คือ ทำให้คนรู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบ และต้องให้การศึกษาด้านประชาธิปไตย และต้องให้ประชาธิปไตยต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมีการปฏิวัติบ่อยทำให้การบริหารประเทศโดยตัวแทนของประชาชนสะดุด สมัยหลังรัฐประหารที่ผ่านมา ก็มีการกันพรรคหนึ่ง ช่วยอีกพรรคหนึ่ง นอกจากนี้ ตนติดใจเป็นพิเศษกรณีองค์กรอิสระในวันนี้ มีคนที่แสวงหาประโยชน์ในนั้น เช่น เจ้าหน้าที่บางคนในกกต. สมัยเลือกตั้งปี 44 เคยมีโทรมาหาตน ว่า ถ้าให้ 1 ล้านจะไม่โดนใบเหลือง พอมาเลือกตั้งล่าสุด มีการตั้งธงตนว่าต้องได้ใบแดง เพราะเป็นพื้นที่บุรีรัมย์ อีกแห่งคือเชียงราย ซึ่งก็โดนจริงๆ ในฝ่ายสืบสวนเป็นตำรวจทั้งนั้น บางคนก็เรียกอะไรต่อมิอะไรซึ่งก็รู้ๆกันอยู่ จึงควรให้ศาลวินิจฉัยคดีเลือกตั้งทั้งหมดจะดีกว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากการหารือประมาณ 3 ชั่วโมง นายประเสริฐ ได้แถลงสรุปว่า อนุกรรมการได้โจทย์ 4 ข้อคือ 1. การปรับปรุงโครงสร้างในรัฐธรรมนูญที่สัมพันธ์กับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ซึ่งเป็นแผนระยะสั้น ต้องไปดูว่า หากบางมาตรามีปัญหา จะแก้หรือไม่ แก้อย่างไร 2. การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และการให้การศึกษาด้านประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแผนระยะกลางและยาว 3. กฎหมายต่างๆที่อาจต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับการพัฒนาประชาธิปไตย การทำให้ประเทศเป็นนิติรัฐ
4. บทบาทการเมืองของภาคส่วนต่างๆ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร องค์กรอิสระ ภาคประชาชน จะพัฒนาการปฏิบัติหน้าที่อย่างไร และนัดประชุมครั้งต่อไปวันที่ 14 พฤษภาคม เวลา 15.00 น. และเมื่อได้ข้อสรุปแต่ละสัปดาห์แล้ว ก็จะนำเสนอในที่ประชุมร่วมระหว่างประธานคณะกรรมการชุดใหญ่ รองประธาน ฝ่ายเลขา ของคณะกรรมการชุดใหญ่ ทุกวันจันทร์ ช่วงบ่าย เพื่อเตรียมนำเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ทุกวันอังคารต่อไป
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ในส่วนปัญหาเฉพาะหน้าคือการปิดช่องโหว่ไม่ให้ประเทศเดินทางไปสู่ อนาธิปไตย ธนาธิปไตย อำมาตยาธิปไตย และเผด็จการ ทั้งนี้ กรรมการส่วนใหญ่ มองว่า ควรแก้รัฐธรรมนูญในมาตราที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นธรรม อย่าง มาตรา 237 หรือมาตราอื่น ๆ ก็จะเอามาพิจารณา แต่มีหลักด้วยว่า ต้องไม่แก้เพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่มใด หรือการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจองค์กรอิสระ รวมถึงการพิจารณามาตรา 291 เพื่อเปิดประตูสู่การปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ ซึ่งตนเห็นว่า ควรมีการเลือกตั้งสภาปฏิรูปประเทศ และสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในระยะต่อไป นอกจากนี้คณะอนุกรรมการ จะรวบรวมงานวิจัยมาวิเคราะห์ และจะเสนอให้มีการทำโพลในประเด็นต่าง ๆ เป็นระยะ และจะเปิดให้ประชาชนส่งความเห็นเข้ามา เพื่อให้มีการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม คือ ลดความขัดแย้งทางการเมืองที่ใช้ความรุนแรงต่อกัน และเมื่อได้ผลการศึกษาและข้อเสนอ ก็จะส่งให้รัฐบาลและรัฐสภา และผลักดันให้เกิดการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม ถ้าไม่ทำ ตนและนักวิชาการบางส่วนในมหาวิทยาลัย ก็จะรณรงค์ผลักดันต่อไป
“ประพันธ์”ชูสนธินั่งหน.พรรคพธม.สร้างการเมืองใหม่
นายประพันธ์ คูณมี แกนนำแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ว่า ในวันที่ 24-25 พ.ค.จะมีการโหวตเพื่อจัดตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ แต่จากการรับฟังความคิดเห็นจากมวลชนพันธมิตรฯมีความมั่นใจว่าเสียงส่วนใหญ่ต้องการที่จะมีพรรคการเมืองเพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์การเมืองใหม่ให้บรรลุเป้าหมาย
โดยตัวแทนของพันธมิตรฯจะเข้าไปผนึกกับนักการเมืองน้ำดีอยู่ในสภาสร้างสรรค์การเมืองที่พัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า ส่วนบทบาทของพันธมิตรฯที่จะเคลื่อนไหวในรูปแบบการชุมนุมนั้นขณะนี้ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง เพราะขบวนการของพันธมิตรฯที่เติบโตเข้มแข็งนั้นเกิดจากการต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ขณะนี้ระบอบทักษิณ ไม่มีอยู่แล้วพันธมิตรฯได้ทำลายจนพ่ายแพ้สูญสิ้นอำนาจไปแล้ว
ดังนั้นพันธมิตรฯไม่จำเป็นต้องชุมนุมขับไล่ โค่นล้มใครอีก แต่เราต้องปรับเป้าหมายให้สูงกว่านั้นคือการสร้างการเมืองใหม่ ทั้งนี้เมื่อ 2 เดือนก่อนแกนนำพันธมิตรฯเคยทั้ง 5 คนได้ขึ้นเวทีในงานคอนเสิรต์ ที่แอลเอ สหรัฐฯ โดยได้ขอฉันทานุมัติคนไทยในสหรัฐฯว่าจะสนับสนุนให้ตั้งพรรคหรือไม่ปรากฎว่าได้รับฉันทานุมัติอย่างท่วมท้น
“ สำหรับคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรรคนั้นส่วนตัวผมเห็นว่าจะต้องเป็นคุณสนธิ ลิ้มทองกุล คนเดียวเท่านั้น เนื่องจากผู้ที่จะเป็นผู้นำจะต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมวลชน เป็นศูนย์รวมจิตใจ มีความกล้าหาญ เสียสละ คุณสนธิ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วมีความมุ่งมั่น ว่าสามารถสละชีวิตได้ และจากประวัติศาสตร์การเมืองในหลายประเทศทั้งอินเดีย ฟิลิปปินส์ ผู้นำทางการเมืองก็ผันตัวมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองเองทั้งสิ้น แต่ถ้าจะให้คนอื่นมาเป็นแม้จะเป็นแกนนำรุ่น 1 หรือรุ่น 2 ก็จะไม่มีพลังพอที่จะขับเคลื่อนมวลชนขนาดใหญ่เช่นนี้ได้”นายประพันธ์ กล่าว