เรือนแพเกยตื้น!หลังประตูเขื่อนนเรศวรพัง
ชาวแพร้านอาหาร-ที่อยู่อาศัย ในแม่น้ำน่าน อ.เมืองพิษณุโลก เดือดร้อนหนัก จากระดับน้ำขึ้น-ลงเร็ว ต่างกัน 2-3 ม. เหตุจากประตูน้ำเขื่อนนเรศวร พังลง 1 บาน ขณะที่ล่าสุดกรมชลฯ นำประตูสำรองมาติดตั้งแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 55 ที่ชุมชนชาวแพและสองฝั่งแม่น้ำน่าน เขต อ.เมืองพิษณุโลก เรือนแพในแม่น้ำน่านจำนวนหลายหลัง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากระดับน้ำของแม่น้ำน่านที่ขึ้นและลงเร็วมาก มีความต่างกันถึง 2-3 เมตร เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ประตูน้ำ 1 ใน 5 บาน ของเขื่อนนเรศวรที่กั้นแม่น้ำน่าน ที่ อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก เกิดพังลง ทำให้แม่น้ำน่านจากเหนือเขื่อนไหลลงสู่ทิศใต้และเข้าสู่เมืองด้วยปริมาณมากขึ้นกว่าปกติ โดยเริ่มไต่ระดับขึ้นสูงจากเดิมในช่วงเย็นวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา กระทั่งเช้าวันที่ 10 เม.ย. ระดับน้ำที่เคยเพิ่มสูงกว่าเดิม 2-3 เมตร กลับลดต่ำลงมาอีก ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 3.09 เมตร ส่งผลให้เรือนแพที่อยู่อาศัยและเรือนแพร้านอาหารหลายหลังได้รับความเสียหาย เกยตื้นติดอยู่กับริมตลิ่งแม่น้ำน่าน
นายทรงพล ปิ่นอนุสรณ์ เจ้าของร้านอาหารแพสบายโบ๊ด ในแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก เชิงสะพานเอกาทศรถ อ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ระดับน้ำในแม่น้ำน่านเพิ่มขึ้นเร็วมาก ปัญหาคือ ขาดการแจ้งเตือนจากทางการ เทศบาลนครพิษณุโลก หรือชลประทานจังหวัดพิษณุโลก ควรออกประกาศแจ้งเตือนให้ผู้อยู่อาศัยในแพได้รับทราบด้วยว่า เกิดเหตุการณ์ประตูน้ำเขื่อนนเรศวรพังลง ทำให้แม่น้ำน่านจะเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีการแจ้งเตือนจากทางการเลย ตนได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากเพื่อน และต้องคอยเฝ้าระวังคลายและผูกเชือกตลอดทั้งคืน
สำหรับระดับน้ำแม่น้ำน่านขึ้นลงเร็วต่างกันมาก เย็นวานนี้ขึ้นสูงจากเดิมไปร่วม 2 เมตรกว่า ตนก็ต้องคอยดึงแพเข้าไปใกล้ตลิ่ง แต่ปรากฏว่า ช่วงดึกถึงเช้าวันที่ 10 เม.ย. ระดับน้ำกลับลดลงไปอยู่ใกล้เคียงระดับเดิม ก็ต้องคอยคลายเชือกผูกแพลงไป ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ช่วงที่เขื่อนปรับเพิ่มการระบายน้ำ ก็ไม่เคยมีการแจ้งเตือนให้ชาวแพรับทราบ ระดับน้ำน่านสูงกว่าระดับน้ำในฤดูแล้งปกติ แต่ก็มีการปรับระดับน้ำลดลงอีก และไม่มีการแจ้งเตือน ส่งผลให้แพของตนเกยตื้น เอียงติดริมตลิ่งร่วม 2 สัปดาห์ ไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการได้ เพิ่งเริ่มปรับแพเข้ากับแม่น้ำได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในคราวนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็ไม่ว่ากัน แต่อยากให้มีการแจ้งเตือนด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่แพเลขที่ 100/10 ของนายนคร แวงวัน ถนนพุทธบูชา ชุมชนชาวแพ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นเรือนแพที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบจากระดับน้ำแม่น้ำน่านที่เพิ่มสูงและลดลงอย่างรวดเร็ว จากเหตุการณ์ประตูน้ำเขื่อนนเรศวรพัง เมื่อช่วงเช้านายนคร ได้ขอแรงเพื่อนบ้าน มาช่วยกันกู้แพ ให้กลับไปลอยในแม่น้ำน่านอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อเย็นวันที่ 9 เม.ย. แม่น้ำน่านได้เพิ่มระดับสูงกว่าเดิม 2 เมตรกว่า แต่พอเช้ามืด แม่น้ำน่านได้ลดระดับลงไปมาก ส่งผลให้แพเอียงตัวติดริมตลิ่งและการกู้แพลงแม่น้ำก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องขุดดินโคลนที่ติดลูกบวบออก และใช้แรงคนช่วยกันดันแพลงสู่แม่น้ำน่าน
ซ่อมแล้วประตูปิดเขื่อนนเรศวร คุมปริมาณน้ำกลับสู่สภาพเดิม
หลังจากบานประตูระบายน้ำเขื่อน น้ำหนัก 28 ตัน หลุดหายไปกับน้ำในแม่น้ำน่าน ทำให้ ปชช. ชาวแพร้านอาหาร-ที่พักอาศัย ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุ ระดับน้ำขึ้น-ลงเร็ว ต่างระดับ 2-3 ม. ทำให้แพเกยตื้น
ล่าสุดนายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุ ทางเขื่อนนเรศวร ได้เร่งทำการซ่อมแซมประตูระบายน้ำที่ชำรุด โดยนำเอาบานสำรองมาติดตั้งไว้ก่อน จนสามารถควบคุมระดับน้ำไว้ได้เป็นปกติแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พร้อมกับใช้บานประตูระบายน้ำ 1-4 เป็นตัวควบคุมระบายน้ำไปก่อน ส่วนบานประตูที่ชำรุดและหลุดหายไปกับกระแสน้ำนั้น ขณะนี้ยังไม่พบแต่อย่างใด ซึ่งทางชลประทานก็จะเร่งตรวจสอบหาบานประตูดังกล่าวขึ้นมาจากแม่น้ำน่านอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อนฤดูน้ำหลากอย่างแน่นอน และในช่วงบ่ายวันนี้ช่างเทคนิค จากกรมชลประทานจะเดินทางมาตรวจสอบมาตรฐานและการแก้ไขประตูระบายน้ำของเขื่อนนเรศวรอีกครั้ง
รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวอีกว่า ขอให้ทางสำนักงานชลประทานที่ 3 ได้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีความมั่นใจเกี่ยวกับการระบายน้ำของเขื่อนนเรศวรที่กลับมาสู่สภาพปกติ ไม่ต้องตื่นตระหนกว่าจะมีน้ำท่วมแต่อย่างใด พร้อมทั้งให้สำรวจบานประตูน้ำไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ คู คลอง ว่ามีการเสียหายอะไรหรือไม่ เพื่อรองรับน้ำที่จะมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งหากมีการชำรุดก็ให้เร่งซ่อมแซม โดยใช้งบประมาณสำรองของกรมชลประทาน ได้ตลอดเวลา
ด้านนายกรรณชิง ขาวสอาด รักษาการผู้อำนวยการโครงการบริหารจัดการเขื่อนนเรศวร กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาของการทำงานของเขื่อนนเรศวรนั้น มี 2 ประการที่ขอให้ทางกรมชลประทาน ได้เร่งแก้ไขคือปัญหาบุคลากร ที่ไม่เพียงต่อการทำงานในการดูแลเขื่อนและตรวจสอบควบคุมน้ำตลอดเวลา อีกปัญหาหนึ่งคือ ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา ยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปอย่างเป็นไปอย่างล่าช้า