ข่าว

'เจ้ายอดศึก'หวังพม่าเป็นปชต.

'เจ้ายอดศึก'หวังพม่าเป็นปชต.

01 เม.ย. 2555

สัมภาษณ์พิเศษ 'พล.ท.เจ้ายอดศึก' ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน : "หวังทุกชาติพันธุ์ ร่วมบริหารพม่า หลัง ซูจี ผงาด"

          "วันนี้ถ้าพม่าไม่ดูว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว และยังจะมาเผด็จการและยึดอำนาจต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผมคิดว่าโลกจะลืม ดังนั้นจะต้องเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยและจะต้องเปลี่ยนเป็นสหภาพจริงๆ คือมี 7 รัฐ 7 แห่ง และ 7 ภาค จะต้องมาร่วมกัน"

          หลังจากการเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า กับ พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (อาร์ซีเอสเอส) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2554 จนมาถึงปัจจุบันก็เกือบ 4 เดือนแล้ว แต่สถานการณ์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ เพราะเวลานี้ก็มีเสียงการปะทะกับระหว่างกองกำลังทหารพม่า กับกองกำลังทหารรัฐฉานบริเวณพื้นที่ตะเข็บชายแดน ประมาณ 14-15 ครั้งแล้ว แม้ว่าที่ผ่านมารัฐฉานจะให้ “เครดิต” รัฐบาลพม่า ภายใต้การนำของ พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า ก็ตาม

          พล.ท.เจ้ายอดศึก ประธานสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (อาร์ซีเอสเอส) เปิดใจกับ “คม ชัด ลึก” ถึงความคืบหน้าข้อตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าว่า สถานการณ์ในประเทศพม่าขณะนี้ยังไม่เปิดใจกับรัฐฉานเท่าที่ควร แต่ถ้าถามว่าตกลงที่ได้สัญญากันเอาไว้คงน่าจะไปกันได้อยู่ สิ่งที่พม่ายังไม่เปิดใจมีอยู่ 3 เรื่อง คือ

          1.สิ่งที่รัฐบาลพม่ากับรัฐฉานได้ตกลงกันแล้ว แต่ยังมีการสู้รบกันอยู่ตามจุดต่างๆ โดยทางพม่าไม่ยอมหยุดยิงตามที่ได้สัญญาเอาไว้ แต่ก็เข้าใจว่าเพิ่งได้มีการพูดคุยเพียงแค่ 3-4 เดือนเท่านั้น อีกทั้งทหารของทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ได้ไว้ใจกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาคงจะต้องมีการพูดคุยกันไปเรื่อยๆ เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น สิ่งที่ยิงกันนั้นตนมั่นใจว่าไม่ใช่นโยบายของรัฐบาลพม่า แต่อาจจะเป็นระหว่างเจ้าหน้าที่กับเจ้าหน้าที่แค่นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือปัญหาที่ตนไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่

          2.ไม่เข้าใจวิธีการควบคุมทหารของพม่า หรือไม่สามารถควบคุมทหารได้ เพราะทหารอาจจะไม่ฟังนายกรัฐมนตรีพม่า ความสามัคคีรัฐบาลกับกองทัพไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ 3.นโยบายของ พล.อ.เต็ง เส่ง ประธานาธิบดีพม่า ที่วางไว้ถือเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ประเทศสงบร่มเย็นทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เพียงแต่ว่าตอนนี้กองทัพไม่ค่อยทำตามเท่าไหร่นัก

          หยุดยิงกันมา 3-4 เดือนแล้ว แต่การสู้รบไม่จบ เมื่อทางทหารพม่าสู้รบกับทหารรัฐฉาน ผมก็ได้ทำหนังสือประท้วงไปหลายครั้ง แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้สงบไปเลย ตอนนี้การสู้รบเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ยิงกันประมาณ 14-15 ครั้งแล้วหลังจากที่มีการประกาศหยุดยิง ซึ่งผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่จึงจำเป็นจะต้องเตรียมกำลังให้พร้อมไม่รู้อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเชื่อว่าน่าจะเป็นทหารระดับล่างไม่เข้าใจกันมากกว่า

 

@รัฐฉานมั่นใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแค่ไหน

          สถานการณ์น่าจะดีขึ้น แต่เราไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ว่าสหภาพพม่าจะต้องมี 7 รัฐ 7 พรรค เป็นตัวตั้งในการก่อตั้งสหภาพพม่าขึ้นมา สหภาพพม่าจึงมีทุกเผ่า ทุกชาติพันธุ์ อยู่ร่วมกันเพื่อให้เกิดสันติวิธี ซึ่งรัฐธรรมนูญของสหภาพพม่าเขาเขียนไว้ชัดเจนทุกอย่าง แต่การกระทำของพม่าไม่เหมือนกับการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับ 7 รัฐที่ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวในเวลานี้ แต่ 7 รัฐเป็นชาติพันธุ์ในการปกครองของเราเองในการปกครองพิเศษ และเป็นส่วนปกครองของรัฐไทยใหญ่ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีของรัฐไทยใหญ่จะต้องมีการเลือกตั้ง ไม่ใช่มีการแต่งตั้งกันขึ้นมา ตอนนี้นายกรัฐมนตรีของไทยใหญ่เป็นการแต่งตั้งมาจากเนปิดอว์ ดังนั้นจะต้องมีการเลือกตั้งเหมือนกับผู้ว่าฯ กทม. รัฐไทยใหญ่ใครจะขึ้นมาปกครองจะต้องมีการเลือกตั้งไม่ใช่แต่งตั้ง ถ้าแต่งตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย ทุกอย่างจะต้องมีการเลือกตั้งตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านขึ้นไป

 

@ เชื่อมั่นใจตัว พล.อ.เต็ง เส่ง หรือไม่ที่จะเดินหน้าเรื่องประชาธิปไตยของพม่า

          จริงๆ แล้ว เชื่อมั่นใจตัวของ พล.อ.เต็ง เส่ง เพราะเท่าที่ติดตามประวัติ และความดีของเขา มีแต่ความดี และไม่ค่อยโกหก ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง หรือประชาชนของเขาเอง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ที่มีการลงนามกันว่าจะหยุดยิง อยากสร้างให้ประเทศสงบ เพียงแต่ พล.อ.เต็ง เส่ง คนเดียวคงทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่มีกลุ่มของรัฐบาล ครม.ของเขาร่วมด้วยทั้งหมด ครม.ของพม่าเป็นของกองทัพ และยิ่งรัฐธรรมนูญก็เป็นของกองทัพจะยึดอำนาจเมื่อไหร่ก็ได้ ส่วนการปล่อยตัว ออง ซาน ซูจี นั้น หากไม่ปล่อยก็ไม่ได้ เพราะในสหภาพพม่าคนที่เชื่อมั่นออง ซาน ซูจี ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์

          นอกจากนี้บางส่วนคนในกองทัพก็มีความเชื่อมั่นออง ซาน ซูจีเหมือนกัน ที่สำคัญ ออง ซาน ซูจี อยากเปลี่ยนแปลงสหภาพพม่าจริงๆ เพื่อให้เกิดประชาธิปไตย ออง ซาน ซูจี คือนักประชาธิปไตยตัวจริง เชื่อมั่นว่า ออง ซาน ซูจี คงไม่ปล่อยเรื่องนี้ง่ายๆ ถ้าปล่อยปัญหาการสู้รบก็จะยิ่งเกิดขึ้นไปใหญ่ ไม่ใช่ว่ากองทัพเฉพาะกองทัพ ประชาชนไม่ได้โง่ เพราะประชาชนไปเรียนต่างประเทศกันเยอะรู้ดีๆ กันหมดแล้ว โลกวันนี้หากเอาทหารมาคุมแบบเผด็จการมันจะสลายลงไปเรื่อยๆ

 

@การเลือกตั้งซ่อมที่จะเกิดขึ้นกับประเทศพม่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหรือไม่

          อันนี้แหละสำคัญ โดยเฉพาะการเลือกตั้งในปี 2015 แต่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพียงแต่จะบอกสัญญาณว่าการเลือกตั้งในปี 2015 จะโปร่งใสหรือไม่ ถ้าเลือกตั้งในปี 2015 ถ้า ออง ซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้ง และพม่ายังปกครองโดยทหารพม่าและยึดอำนาจต่ออยู่นั้น ผมคิดว่าโลกคงไม่ต้องไหว้เขาหรอก สหภาพพม่ามีทรัพยากรมันดีกว่าที่ไหนๆ นักท่องเที่ยวก็จะมาเที่ยว แต่นี่ไม่มีใครกล้ามา เพราะเผด็จการ วันนี้ถ้าพม่าไม่ดูว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว และยังจะมาเผด็จการและยึดอำนาจต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผมคิดว่าโลกจะลืม ดังนั้นจะต้องเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยและจะต้องเปลี่ยนเป็นสหภาพจริงๆ คือมี 7 รัฐ 7 แห่ง และ 7 ภาค จะต้องมาร่วมกัน เพื่อให้มีการปกครองของตนเองอย่างเสรีถือว่าสำคัญมาก ถ้าไม่ได้ปกครองแบบเสรี หรือ ดูแลไม่เท่าเทียมกัน ความสงบก็คงไม่เกิด

          @หลายคนคาดว่าการเลือกตั้งซ่อมของพม่าในครั้งนี้ ออง ซาน ซูจี จะได้เข้าไปนั่งในตำแหน่ง ครม.ของรัฐบาลพม่า

          ผมคิดว่ามีโอกาส เพียงแต่ว่าอำนาจรัฐในการบริหารประเทศมีแค่ไหนจะต้องดูกันก่อน ส่วนจะไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศหรือไม่นั้น ผมไม่เชื่อว่าจะได้เป็น เพราะรัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ชัดเจนว่า คนที่แต่งงานกับคนต่างประเทศจะต้องไม่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง หากเปลี่ยนรัฐธรรมนูญเพื่อออง ซาน ซูจี ก็เป็นเรื่องดี และถ้าเปลี่ยนให้คนที่แต่งงานกับคนต่างชาติได้ก็จะต้องเปลี่ยน หรือกองทัพพม่าก็จะต้องเปลี่ยนเป็นกองทัพสหภาพพม่า ไม่ใช่พม่ามีอำนาจอย่างเดียว กระทรวงต่างประเทศชาติพันธุ์ไหนก็มีส่วนเข้าไปในนั่งในกระทรวงนั้นได้ คนไทยใหญ่ กะเหรี่ยง คะยา ก็มีคนเก่งเยอะไปหมดเท่าเทียมกันหมดแต่ไม่มีโอกาส ดังนั้นพม่าจะต้องให้โอกาสบ้าง ขณะนี้พม่าระวังชาติพันธุ์ หากชาติพันธุ์มีอำนาจเกินไปจะยึดอำนาจหรือไม่ เขาเกิดความหวาดระแวงเรื่องนี้

 

@ คาดหวังตัว ออง ซาน ซูจี แค่ไหน หากได้เข้ามาทำงานในรัฐบาลพม่า

          คาดหวังมาก เพราะออง ซาน ซูจี มีอะไร อย่างไรที่ทำให้หลายคนได้ประจักษ์ โดยเฉพาะการต่อสู้ของเขา น่าจะร่วมงานกันได้ดีกว่าทุกคน ส่วนจะคุ้มหรือไม่ในการรอคอยกว่า 65 ปี เพื่อต่อสู้เรื่องประชาธิปไตยนั้น ถ้าเรามีส่วนร่วมเราก็พอใจ โดยเฉพาะการปกครองแบบเสรีของประชาชน เพียงแต่ว่าถ้าเป็นสหภาพจริงๆ และเป็นประชาธิปไตยทุกคนก็พอใจดีกว่าการสู้รบ การสู้รบมากกว่า 53 ปี

          มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา และอยู่เท่าเทียมกันเหมือนกับสัญญาปางโหลง พม่าไม่ต้องยุ่งกับการปกครองของไทยใหญ่ เงินภาษีที่เก็บได้มาต้องได้เท่าเทียมกันตามสัญญาปางโหลงถึงจะแก้ไขปัญหาหรือไม่ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็มีความสามารถเหมือนกันที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

 

.........................

(หมายเหตุ : สัมภาษณ์พิเศษ 'พล.ท.เจ้ายอดศึก' ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน : "หวังทุกชาติพันธุ์ ร่วมบริหารพม่า หลัง ซูจี ผงาด")