
'เล่าต๋า แสนลี่'เย้ยปราบยาเหลว
"เล่าต๋า แสนลี่" อดีตผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่ที่ถูกจับกุมเมื่อปี 46 เจ้าของฉายา "ราชายาเสพติด" แต่ศาลฎีกาพิพากษา "ยกฟ้อง" เมื่อปลายปี 50 ขอลบภาพนักค้ายากับชีวิตใหม่ในคราบ "เศรษฐีไร่กาแฟ" เชื่อตัวเองโดนจับเพราะขัดแย้ง "ทักษิณ" พร้อมปรามาส "เพรียวพันธ์-
กราฟชีวิตของ เล่าต๋า แสนลี่ ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่า "ราชายาเสพติด" และเลขาฯ คนสนิทของนายจาง ซี ฟู หรือ "ขุนส่า" เจ้าอาณาจักรยาเสพติดแห่งสามเหลี่ยมทองคำเคยตกต่ำดิ่งสุดขีดเมื่อถูกตำรวจกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ปส.) จับกุมเมื่อปี 2546 กระทั่งศาลฎีกาพิพากษา "ยกฟ้อง" ยืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ เมื่อปลายปี 2550
ชีวิตในวันนี้ของเล่าต๋าได้ผันตัวเองมาเป็น "ชาวไร่กาแฟ" พร้อมธุรกิจเสริม คือ ร้านกาแฟ และปั๊มน้ำมันที่บ้านดอยส้าน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ โดยไร่กาแฟแบรนด์เล่าต๋ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า 2 แสนต้น และเน้นส่งออกนอกไปไต้หวัน
เล่าต๋าในวัย 75 ปี เปิดใจกับ "คม ชัด ลึก" บอกเล่าชีวิตในปัจจุบันที่เขายังคงยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยทุกวันนี้เขายังทำงานอยู่ในไร่กาแฟทุกวัน ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่มีโรคประจำตัวมารบกวน สามารถเดินเหินขึ้นลงไร่กาแฟที่ปลูกเรียงรายอยู่บนดอยสูงเป็น 10 เที่ยวได้สบายๆ แม้จะยังสูบบุหรี่ไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ซอง
"เมื่อก่อนทำเอาไว้ ทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เอาไปหมด อะไรๆ ทักษิณก็เอาไปหมดทุกอย่าง ต้องติดคุกที่กรุงเทพฯ 4 ปี ออกมาจากคุกแล้วก็ไม่มีอะไรกิน เลยต้องมาหากินด้วยการปลูกกาแฟขาย" เล่าต๋าเล่าถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต
เล่าต๋าบอกเล่าสัจธรรมที่ได้จากมหาลัยเรือนจำตลอด 4 ชั้นปีว่า "คนเรามีมือ 2 มือ มีนิ้ว 10 นิ้ว และมีตา 2 ตา ดังนั้น อย่าขโมย อย่าปล้นผู้อื่น มีข้าวกินก็พอแล้ว
ชีวิตที่ผมอยู่ในคุก 4 ปี ถือว่าสุดยอดกับชีวิต เหมือนอยู่ใต้ชั้นใต้ดินที่ลึกลงไปสุดๆ ผมไม่ผิด แต่ผมติดคุกนานถึง 4 ปี ใน 3 คดี คือ 1.ครอบครองยาเสพติด 2.มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง 3.ฆ่าคนตาย แต่ศาลยกฟ้องทุกคดี สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่จริง ทุกอย่างมันถูกแต่งขึ้นมาทั้งหมด
ผมสู้ชีวิตมาตลอด ผ่านสงครามมาไม่รู้กี่ที่ และยังต้องติดคุกตอนแก่ข้อหายาเสพติด ใครอยากพูดก็พูดไป แต่ยาเสพติดผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว"
ส่วนสมญา "ราชายาเสพติด" นั้น เล่าต๋าบอกว่า "ทักษิณเป็นคนตั้งให้ ผมไม่รู้เรื่องหรอก ผมบอกว่าไม่ได้ทำก็ไม่ใครเชื่อ เพียงแค่มีเงินก็บอกว่ารวย ตอนนี้ผมปลูกกาแฟ และจะไม่ยอมแพ้กับโชคชะตา"
สำหรับอาวุธสงครามที่ถูกยึดได้ในบ้านนั้น เล่าต๋ายอมรับว่า เขามีปืนจริง เพราะเป็น "ทหารเก่า" และรู้ด้วยว่าผิดกฎหมายจึงเอาไปฝังเอาไว้ และคิดว่าหากใช้ได้ก็ใช้ แต่ถ้าใช้ไม่ได้ก็ฝังไว้เหมือนเดิม เพราะกลัวว่าจะถูกขโมยไปขาย
เล่าต๋าเชื่อว่า สาเหตุหนึ่งที่เขาโดนจับ เพราะเคยมีปัญหากับทักษิณ ต่อมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ในขณะนั้น) ก็เข้ามาจับกุม และวันนี้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ก็ก้าวมาเป็น ผบ.ตร.เต็มตัว
“ผมถามว่าวันนี้เพรียวพันธ์ไม่เคยโดดร่ม ปีกร่มก็ไม่มี ถ้าเป็นผม ผมผูกคอตายเลย เป็น ผบ.ตร.ทำไมไม่มีเครื่องหมายปีกร่มติดไว้ที่หน้าอก ส่วนเฉลิม(ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี) คนที่สนับสนุนเพรียวพันธ์ ตอนที่เฉลิมลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และเชียงราย ก็ไม่เห็นมีใครสนใจ
ผมบอกได้เลยว่ารัฐบาลชุดนี้ยิ่งอยู่ ยาเสพติดยิ่งมาก และตอนนี้มีการสร้างเขื่อน (ในแม่น้ำโขง) ขึ้นมาจะยิ่งทำให้ยาเสพติดไหลเข้ามามากขึ้น"
เล่าต๋าอธิบายสาเหตุที่เชื่อมั่นว่า ยาเสพติดจะไม่หมดไปง่ายๆ ว่า ทุกวันนี้ในพม่ามีชนกลุ่มน้อยใหญ่ๆ 5 กลุ่ม มีกลุ่มติดอาวุธประมาณ 2-3 แสนคน ไม่นับครอบครัวอีก ลองนึกดูว่าคนเหล่านี้จะเอาเงินที่ไหนมากินมาใช้ จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อปืน ซื้อกระสุน ตัดเครื่องแบบ
"สมัยก่อนการปราบปรามยาเสพติดไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ แต่สมัยนี้อันตรายมาก เพราะทุกคนต่างมีปืนใช้กันหมด และมันหิวกันมาก ถ้านั่งอยู่เฉยๆ จะมีอะไรกิน ดังนั้น การแก้ไขปัญหายาเสพติดถือว่ายากจริงๆ ผมเชื่อว่าอีกเป็น 1,000 ปี ก็แก้ปัญหากันไม่จบ"
อีกปัจจัยที่ทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้น คือพม่าเองก็ไม่คิดที่จะปราบปรามชนกลุ่มน้อยที่ค้ายาอย่างจริงจัง เพราะเสียงสนับสนุนส่วนนี้มีอยู่ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ แม้ส่วนใหญ่จะสนับสนุน นางออง ซาน ซูจี แต่ซูจีก็ไม่มีเงิน เพราะทุกอย่างจะต้องขึ้นอยู่กับเงิน และยิ่งปราบปรามยาเสพติดเท่าใด ปัญหาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น ส่วนเรื่องหยุดยิงคงทำได้แค่ชั่วคราว
"ผมมองว่าหยุดได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ยิงกันอีก ที่สำคัญ ปัญหายาเสพติดในอนาคตจะหนักยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเขาต้องการเงิน และยิ่งขายยิ่งได้เงินกันมาก นักค้ายาเสพติดเขาไม่กลัวความตายหรอก"
ขณะที่เครือข่ายค้ายาเสพติดของ "ขุนส่า" ว่ายังมีอยู่หรือไม่ เล่าต๋ารับว่า ยังมีอยู่ แต่ตอนนี้เครือข่ายใหญ่ 3 คน คือ 1.เหว่ย เซียะ กัง 2.เปาะอีฉาง 3.พ่งจางซือ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมี "กองกำลัง" คุ้มกันอยู่
โดยเปาะอีฉาง มีทหารกลุ่ม "ว้าแดง" ดูแล ส่วนพ่งจางซือมีทั้งว้า, ไทยใหญ่ และพม่า หนุนหลัง แต่ที่ "น่ากลัวที่สุด" ยังคงเป็น "เหว่ย เซียะ กัง"
เล่าต๋าเผยว่า แม้เหว่ย เซียะ กัง จะน่ากลัวสุด แต่พ่งจางซือก็น่าจับตา เพราะมีเครือข่ายเยอะมากทั้งฝั่งพม่า และไทย รวมทั้งเวียดนาม และกัมพูชา โดยจะส่งตัวยาบางส่วนไปผลิตที่ลาวซึ่งมีโรงงานผลิตทั้ง "ยาบ้า" และ"ยาอี" โดยมีการ "เก็บภาษีร่วมกัน" เช่น ยาบ้า 1 เม็ด เก็บภาษี 1 บาท เป็นต้น
"ฝั่งลาวมีโรงงานผลิตยาบ้ามากไม่แพ้ฝั่งพม่า ยิ่งเวลานี้ไทยปราบปรามยาเสพติดจริงจัง ยาเสพติดก็จะเปลี่ยนเส้นทางมากขึ้น โดยปัจจุบันโรงงานผลิตขนาดใหญ่อยู่ในพม่า, อินเดีย และปากีสถาน ตามลำดับ ส่วนที่ลาวกับเขมรเป็นโรงงานเล็กๆ ขณะที่กัญชาก็มีมากเช่นกัน"
ส่วนข่าวที่ว่าเขาใช้เงินไปไม่น้อยจนทำให้หลุดคดี ซึ่งเล่าต๋าปฏิเสธว่า ไม่มีทั้งนั้น เงินที่สะสม รถยนต์ และทรัพย์สินที่อยู่ในธนาคารเป็นพันล้านไปหมดเลย ออกจากคุกมา อยากกินปลาทูยังไม่มีเงินซื้อเลย ทุกอย่างต่อสู้มาด้วยมือของตัวเอง
"ปีนี้ผมจะได้เงิน 20 ล้านบาทจากกาแฟ 2 แสนต้น หรือประมาณ 2 ตันที่จะส่งไปไต้หวัน และยังมีปั๊มน้ำมัน ร้านกาแฟ น้ำแข็ง น้ำดื่ม ทุกสิ่งที่ทำก็เพราะต้องการให้แผ่นดินไทยเจริญ ธุรกิจทุกอย่างผมเสียภาษีทั้งนั้น ผมอยากช่วยในหลวง นี่คือแผ่นดินของในหลวง และแผ่นดินไทย ไม่ใช่แผ่นดินของรัฐบาล รัฐบาลอยู่ 2-3 ปี ก็ไปแล้ว"
เล่าต๋าตั้งเป้าหมายว่า ด้วยไร่กาแฟ 2 แสนต้นคงอีกนานกว่าที่จะหาทรัพย์สินได้เป็น "พันล้าน" อย่างที่ถูกยึดไป แต่เขาก็ตั้งเป้าว่าจะปลูกกาแฟให้ได้ 3 ล้านต้นเพื่อให้ขยับไปสู่เป้าหมายเศรษฐีกาแฟพันล้านเร็วขึ้น แต่เงินสดทั้งหมด เขาตั้งใจว่าจะไม่เอาไป "ฝากธนาคาร" อีกเด็ดขาด
"ผมประกาศไว้เลยว่าถ้ามีเงินเป็นพันล้านจะไม่ฝากธนาคารอีกแล้ว ใครบอกว่าฝากธนาคารแล้วปลอดภัยที่สุด แต่พอผมถูกจับไป เงินที่ฝากไว้ก็ถูกยึดหมดเลย ส่วนใครจะบอกว่าเล่าต๋าค้ายาเสพติดก็พูดกันไป ผมไม่สนใจ เพราะหัวใจเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว” เล่าต๋ากล่าวทิ้งท้าย
มหากาพย์"เล่าต๋า แสนลี่"สำนวนนิ่ม-แพ้ทั้ง 3 ศาล?
มหากาพย์การจับกุม และการต่อสู้คดีของนายเล่าต๋า แสนลี่ ที่ถูกทางการไทยระบุว่า มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด และมีประวัติเป็นลูกน้องคนสนิทของ นายจางซีฟู หรือ "ขุนส่า" ราชาค้ายาเสพติด เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2546 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ในขณะนั้น) นำกำลังตำรวจเข้าจับกุม นายเล่าต๋าที่บ้านห้วยส้าน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และลูกชาย 2 คน คือ นายวิจารณ์ แสนลี่ และนายเกษม แสนลี่ ในข้อหาลักลอบค้ายาเสพติด, ความผิดพ.ร.บ.อาวุธปืน และร่วมกันจ้างวานฆ่าผู้อื่น
โดยเป็นการขยายผลจากกรณีเจ้าหน้าที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ติดต่อล่อซื้อเฮโรอีน 366 กรัม จากนายสมศักดิ์ พิมพ์พิมาย ในพื้นที่ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ โดยรับสารภาพว่ารับเฮโรอีนมาจากนายเล่าต๋าจนนำมาสู่การจับกุม และยังขยายผลถึงนายพนม ทรัพย์เอนก อดีต ส.จ.ลำปาง ในข้อหาสมคบกันค้ายาเสพติด
แต่ในเวลาต่อมาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษา "ยกฟ้อง" จำเลยทั้งสามคน กระทั่งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ศาลฎีกาได้พิพากษายืน "ยกฟ้อง" ตามทั้ง 2 ศาล โดยระบุเหตุผลว่า
พยานหลักฐานโจทก์เป็นพยานแวดล้อม ไม่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ เบิกความมีพิรุธน่าสงสัยหลายประการ อีกทั้งจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เห็นว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ขัดกับเหตุผลและข้อเท็จจริง ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังให้ลงโทษจำเลยได้
นายเล่าต๋ากล่าวหลังฟังคำพิพากษาว่า "รู้สึกดีใจที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องทั้งสองคดี และไม่รู้สึกเครียด เพราะไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ที่ผ่านมาทำไร่ทำสวนปลูกพริก ปลูกกาแฟขาย และไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมตำรวจเข้ามาจับกุมผม"
เมื่อถามว่ารู้จักกับ "ขุนส่า" หรือไม่ นายเล่าต๋าถึงกับยิ้มพร้อมกล่าวว่า "รู้จักแต่ในทีวีที่ดูข่าว ส่วนหลังจากนี้จะกลับไปทำไร่ทำสวนเหมือนเดิม"
การ "หลุดคดี" ในการต่อสู้ทั้ง 3 ศาลของนายเล่าต๋าถูกวิพากษ์วิจารณ์ และยกเป็นกรณีศึกษาการทำงานของตำรวจว่าทำ "สำนวนอ่อน" เกินไป หรือมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่!?
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ในชั้น "ศาลแพ่ง" นายเล่าต๋ากลับถูกพิพากษา "ยึดทรัพย์" ได้แก่ โฉนดที่ดิน 1 แปลง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเงินฝากธนาคารมูลค่ารวม 2,029,427 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน