
'บิ๊กบัง'รับหากย้อนกลับไปก็ปฏิวัติอีก
"บิ๊กบัง" ยันไม่ได้รีบส่ง "รายงานปรองดอง" ต่อรัฐสภา อ้างต้องทำเพราะทุกเรื่องเสร็จแล้ว รับหากย้อนกลับไปก็รัฐประหารอีกเหมือนเดิม โยน "ประชาชนต่างหากอยากให้เราทำ" "วุฒิสาร" แนะหากอยากปรองดองทุกคนต้องรับผิดชอบ สอนให้เล่นการเมืองเพื่อบ้านเมือง
26 มี.ค.2555 รายการ "คม ชัด ลึก" ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นชาแนล ได้จัดรายการในตอน "ปรองดอง...ที่ไม่ปรองดอง?" โดย มีผู้ร่วมรายการประกอบด้วย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ และนายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะหัวหน้าคณะผู้วิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ
พล.อ.สนธิ กล่าวถึงกรณีคำถามเรื่องการรัฐประหารว่า คำถามแบบนี้ได้รับมามาก แต่บรรยากาศการปรองดองวันนั้นไม่ควรมีคำถามนี้โดยเฉพาะจาก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ที่มีประสบการณ์ด้านทหารมา พล.ต.สนั่นเป็นทหารมาก่อนน่าจะเข้าใจว่าธรรมชาติคนเป็นทหารจะเป็นอย่างไร การจะพูดจะตอบอะไรก็ตรงไปตรงมา
"ท่านจะถามคงมีนัยยะอะไรที่เราอ่านไม่ออก ผมอยากจะถามท่านมากกว่าทำไมท่านถึงถามผมอย่างนั้น การเมืองก็มีเป้าหมายหลายอย่างที่ซ่อนอยู่เป็นเรื่องที่เราต้องวิเคราะห์กันต่อไป ส่วนเรื่องเบื้องหลังท่านก็คงทราบอะไรดี โดยเฉพาะท่านก็อยู่ในพรรครัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยพัฒนาด้วย" พล.อ.สนธิกล่าวและว่า
เมื่อเริ่มทำงานก็ต้องตั้งประธาน ซึ่งตนเป็นพรรคที่ยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ฝ่ายค้านหรือ รัฐบาล แต่ตนอยู่ฝั่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งเขาก็เลยมาขอให้ตนเป็นประธาน เพราะดูเป็นกลางที่สุดในห้อง
เมื่อถามถึงเหตุผลในการรีบเสนอต่อสภา พล.อ.สนธิกล่าวว่า "เรามีเหตุผล ตอนที่เราขออนุมัติสภา เราขอ 30 วัน แต่สถาบันพระปกเกล้าบอกไม่ทัน เราก็ต่อมาแล้ว 120 วัน เขาก็ทำส่งมาแล้ว ทุกอย่างเสร็จแล้ว หรือเรื่องผลการเชิญสถาบันต่างๆมาให้เหตุผลก็เรียบร้อย เรื่องของภาคใต้ก็เรียบร้อย ในห้องประชุมก็บอกว่าจบแล้ว ภาระกิจก็ถือว่าต้องส่งเรื่องให้สภา ขณะที่สภาก็เหลือเวลาน้อย ไม่เช่นนั้นก็ต้องต่อถึงกลางเดือนสิงหาคม เมื่อส่งแล้วหากจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องขอสภา"
ส่วนกรณีที่ระบุว่ามีการลงมติ พล.อ.สนธิกล่าวว่า มีกมธ.บางคนบอกว่าผลการวิจัยที่ได้มา กรรมาธิการไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ดังนั้นต้องมาวิเคราะห์ แต่หลายคนบอกว่าเป็นผลวิชาการเรามาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะจะไม่เป็นกลาง เพราะฉะนั้น เอกสารที่ถึงรัฐบาลจะไม่แตะต้อง แต่เราก็จะมาศึกษา โดยเฉพาะข้อสองสามของแนวทางปรองดองระยะสั้น ซึ่งจริงๆไม่ใช่การลงมติ แต่เป็นแบบสอบถามว่าใครมีความต้องการออพชั่นไหน ต่างคนต่างส่งความเห็นมา
ส่วนกรณีเมื่อถามว่า ตนเองเป็นคนรัฐประหาร แต่สุดท้ายจะรับได้ว่าหากมีการนิรโทษกรรมคนที่ทุจริตวันนั้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า จริงๆเป็นไปตามระบอบการทำงาน วันนั้นกับวันนี้มีเงื่อนไขที่เห็นอยู่ แต่ระบอบประชาธิปไตยมีหนทาง วันนั้นกับวันนี้เรารู้สึกไม่เหมือนกัน การจะบอกว่าเราไม่ถูกก็เป็นการที่เราไม่เปิดกว้าง
เมื่อถามว่าหากย้อนไปจะทำรัฐประหารหรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า "มันหนีไม่พ้น แต่เหตุการณ์วันนั้นและวันนี้มันเปลี่ยนไป" เมื่อถามอีกว่าใครเป้นคนสั่ง "แล้วใครจะมาสั่งผมได้ เรื่องแบบนี้คิดหลายคนไม่ได้ ต้องคิดเองทำเอง"
"ตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 มาคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง แต่ตั้งแต่เป็น ส.ส. ไม่เคยคุย" พล.อ.สนธิกล่าว
เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับรัฐประหาร พล.อ.สนธิกล่าวว่าต้องดูว่าเรารัฐประหารเพื่ออะไร ตนอ่านเรื่องการปฏวัติมาตั้งแต่เด็ก แล้วตนก็ไปเรียนการปฏิวัติที่ฟิลิปปินส์ เราต้องถามว่าปฏิวัติเพื่ออะไร แต่ถ้าเพื่อประชาชนเพื่อประเทศชาติก็เกิดได้ หากการปกครองทำให้ประชาชนไม่พอใจก็เกิดไดได้ วันนั้นประชาชนต่างหากอยากให้เราทำ
ด้านนายวุฒิสารกล่าวว่าจากข้อสรุปของงานวิจัย เรายืนยันว่า รายานการศึกษาเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการปรองดอง ข้อเสนอที่เสนอต้องให้ไปหารายลฃะเอียดและหาการยอมรับให้มากขึ้น แล้วจึงกำหนดมาตการในรูปแบบต่างๆ วันนี้บรรยากาศการปรองดองยังไม่เกิด ส่วนที่ไม่ได้ออกมาตอบโต้นั้น เราได้จัดแถลงข่าวโดยสถาบันน จากนั้นก็คุยกันว่าเราจะอธิบายในกรณีที่สาระสำคัญคลชาดเคลื่อน แต่คงไม่ไปตอบโต้ข้อเสนอของทุกฝ่าย การตัดสินใจเร็วอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่ การทำให้ได้รับการยอมรับ การพูดคุยเป็นเรื่องสำคัญ
"ที่ไม่ตอบเพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมก็อธิบายสาระให้ฟังแล้ว แต่จะให้ไปตอบโต้ทุกวันผมไม่ถนัด"นายวุฒิสารกล่าว
นายวุฒิสารกล่าวว่า แต่ละฝ่ายมีความรู้สึกจุดยืนที่ชัดเจน เรามองไม่ออกว่าจะออกมาแบบไหนตอนเริ่มทำ แต่เมื่อได้ไป สัมภาษณ์พูดคุย เราก็เห็นว่าบรรยากาศนี้ยังไม่เกิด และหากทำไม่โดยไม่ระวังอาจจะกลายเป็นตัวเร่งความขัดแย้ง เราจึงเคลื่อนไหวบางเรื่อง เช่นการยื่นหนังสือให้ กมธ. แสดงข้อห่วงใย เช่นหากมีการใช้เสียงข้างมากตัดสิน แต่หากเขาจะทำอย่างไรเราก็ไม่มีอำนาจที่จะไปตัดสินใจแทน
นายวุฒิสารกล่าวว่า ก่อนที่ส่งจดหมาย มีการกำหนดว่ามีใครเห็นด้วยจำนวนเท่าไหร่ เพราะเราไม่อยากให้ใช้เสียงข้างมาก เพราะจะทำให้การไม่ยอมรับกันและกัน หากทำจะมีความสุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้ง ซึ่ง พล.อ.สนธิก็รับปาก
เมื่อถามถึงทางเลือกต่อคดี คตส. ข้อที่สาม ซึ่งกรรมาธิการโดยมากเลือก ที่เป็นเรื่องการยกเลิกคคดีโดย คตส. ทั้งหมด นายวุฒิสารกล่าวว่า ทางเลือกทั้งหมด หากคุยในบรรยากาศอาจจะไม่ออกทั้งสามทางเลยก็ได้ ข้อเสนอที่เป็นทางเลือก ที่สามเรารเขียนไว้ชัดเจนว่าโอกาสทำให้เกิดความปรองดองยาก แต่หากสังคมยอมกันหมดเลยก็เป็นไปได้ ทั้งหมดเป็นข้อเสนอก่อนที่จะไปคุยในรายละเอียด การเลือกข้อเสนอบางเรื่องโดยไม่มองภาพใหญ่ทั้งหมดก็จะสุ่มเสี่ยง
นายวุฒิสารกล่าวว่า ข้อเสนอระยะสั้นมี 4 เรื่อง ทางเลือกที่ได้ทั้งหมด อยู่บนโจทย์การแก้ปัญหาระยะสั้นให้สังคมกลับสู่สภาวะปกติ ประกอบด้วย 1. ค้นหาความจริง และควรเปิดเผยในเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ทำให้ผิดซ้ำ 2.แก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งโดยการให้อภัย ซึ่งรูปธรรมคือนิรโทษกรรม และในรายละเอียดก็เสนอว่าจะรวมการชุมนุมที่มีแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่รวม นี่คือรายละเอียดที่ต้องไปถกเถียง เพราะหากอะไรทำเร็วก็จะมีข้อโต้แย้งแยะ เช่นเรื่องเยียวยา ที่ทำเร็วแล้วมีปัญหา 3. ผลการทำงานของ คตส. เราไม่ได้บอกว่า คตส.ผิด แต่เป็นในระบบที่ไม่ปกติ เป็นข้อเสนอที่ต้องไปคุยกันต่อและอาจจะมีทางเลือกอื่นที่ได้รับการยอมรับมากกว่า และ 4.เรื่องการแก้กติกาทางการเมืองที่มีปัญหา เช่นเรื่องการยุบพรรค ซึ่งเรามองว่าเป็นเหตุ
นายวุฒิสารกล่าวว่า สำหรับในระยะยาว เราเสนอ 1.เรื่องการนำไปสู่อนาคตใหม่ การปฏิรูปการเมือง 2.การแก้โครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมและ ทรัพยากรที่เป็นรากสำคัญของปัญหา เพราะเรื่องแรกที่เป็นปัญหาคือ ความเห็นทางประชาธิปไตย ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นแค่เสียงข้างมาก อีกฝ่ายมองเรื่องคุณธรรมและจริยธรรม สองฝ่ายมองโจทย์ต่างกัน วันนี้เราข้ามเรื่องตัวบุคคลไปได้มาก เราพูดเรื่องการจัดสรรการทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม
นายวุฒิสารกล่าวต่อว่า 3.คือเรื่องการสร้างบรรยากาศ เราเสนอไว้ 7 ข้อ 3 เรื่องรัฐบาลต้องทำเลยคือ 1.แสดงเจตจำนงชัดเจนเรื่องการสร้างรูปธรรมในความปรองดอง เช่นส่งเสริม คอป. 2 สร้างความตระหนักให้สังคมทุกภาคส่วน 3 .เร่งรัดส่งเสริมกระบวนการค้นนหาความจริงและการเยียวยาทุกฝ่าย และไม่ใช่ด้วยตัวเงิน ขณะที่ 4 ข้อที่เสนอหน่วยเกี่ยวข้องให้ปฏิบัติคือ 1.งดเว้นการกระทำที่ทำให้สังคมรู้สึกว่าไม่เคารพกฎหมายหรือไม่เป็นนิติรัฐ เช่นใช้คนมากดดัน 2.ต้องลดความหวาดระแวงของกลุ่มต่างๆที่ทำให้คนรู้สึกว่าจะต้องการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์ 3.สื่อมวลชนต้องสนับสนุนกระบวนการนนี้และไม่พยายามนำความขัดแย้ง โดยเฉพาะสื่อที่มีเจตจำนงในการทำงานการเมือง และ 4 หยุดตั้ง หยุดถามเรื่องในอดีต คำถามว่าปฏิวัติทำไม
เมื่อถามว่ารู้หรือไม่จะถูกวิจารณ์เช่นนี้ นายวุฒิสารกล่าวว่า ตนทราบเช่นนั้นแต่เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า ทุกคนบอกว่าอยากปรองดองดังนั้นทุกคนต้องรับผิดชอบ ทุกคนต้องออกมาบอก วันนี้เราต้องทำการเมืองเพื่อบ้านเมือง อย่าทำการเมืองเพื่อการเมือง อย่างเดียว หากกรรมาธิการปิด ตนก็หวังว่าสภาจะไม่รวบรัด หากมีการเสนออะไรคงจะไม่ด่วนตัดสินใจอะไร เพราะเป็นความรับผิดชอบของสภาผู้แทนราษฎร
นายวุฒิสารกล่าวถึงการไปพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่า โดยหลักการวิจัยบอกไม่ได้ว่าใครพูดอะไร ตนบอกไม่ได้ส่วนใครจะวิพากษ์อย่างไรจะไม่ไปตอบโต้
ปชป.เตรียมจี้ถามปธ.รัฐสภาบรรจุญัตติกมธ.ปรองดองเป็นวาระด่วน
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลกพรรคประชาธิปัตย์ และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ( วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา บรรจุญัติเป็นวาระเร่งด่วน ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาสร้างแนวทางความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร เสนอ ให้พิจารณา ซึ่งพรรคเพื่อไทยเห็นชอบด้วยว่า ประธานก็ต้องชี้แจงเหตุผลถึงการบรรจุเป็นวาระเร่งด่วน เพราะจะยิ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งทุกอย่างเหมือนมีเป้าหมาย แล้วทุกอย่างนำไปสู่เป้าหมายนั้น เหมือนมีธงนำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ท่าทีของพรรคจะถึงกับมีการวอล์คเอาท์เลยหรือไม่ นพ.วรงค์ กล่าวว่า พรรคไม่ได้คุยประเด็นเรื่องนี้ แต่การทำหน้าที่ในสภาฯก็ต้องทำ อาจจะคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนระเบียบวาระ แต่พรรคเพื่อไทยมีเสียงข้างมากก็คงลากไป ถูไปก็ยิ่งไปกันใหญ่ นำไปสู่ความแตกแยกอย่างน้อยทำให้กมธ.แตกแยก
ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตกมธ.ปรองดอง กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า แน่นอนว่าสมาชิกรัฐสภา ต้องสอบถามประธานรัฐสภาพล.อ.สนธิ ว่าทำไมถึงนำเรื่องนี้เข้ามาในสมัยประชุมนิติบัญญัติ ทั้งนี้เราคัดค้านไม่ควรให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัติเรื่องปรองดองในสมัยประชุมนี้ เพราะไม่ใช่เร่งด่วนจนต้องขอเลื่อนขึ้นมาเป็นพิเศษ และรายงานวิจัยยังมีข้อบกพร่องอยู่เยอะควรนำไปทบทวน
“ขณะนี้พรรคยังไม่ได้กำหนดท่าทีว่าจะ ทำอย่างไรในวันพรุ่งนี้นอกจากสอบถามประธานฯ แต่สิ่งที่เราพยายามขอร้องสมาชิกวุฒิสภาว่า ถ้าเรายังจะดึงดันนำเรื่องนี้ และลงมติกันในพรุ่งนี้ทั้งที่เห็นชัดอยู่แล้วว่า จะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นรอบใหม่ในประเทศ เพราะฉะนั้นหาก สว.เห็นด้วยกับเราว่าไม่อยากมีส่วนร่วมให้บ้านเมืองมีความขัดแย้ง แล้วท่านบอกว่าไม่เห็นด้วยที่จะนำเรื่องนี้บรรจุ เรื่องนี้ก็ตกไป ผมคิดว่าจะช่วยชะลออุณหภูมิการเมืองให้เย็นลงได้ ซึ่งก็ต้องมีการพิจารณาในสมัยประชุมหน้าตามปกติ” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับวิปวุฒิก็ทราบว่า หลายคนกังวลเรื่องนี้อยู่และไม่เห็นด้วย แต่ไม่ทราบว่าเสียงจะมากน้อยแค่ไหน แต่ทางที่ดีไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา ในสมัยประชุมนี้เพื่อลดขัดแย้งจะดีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อประธานบรรจุแล้วก็ต้องสอบถามในฐานะสมาชิกรัฐสภา
ส.ว.ประเสริฐชี้มีนัยะแฝงเร้น
นายประเสริฐ ชิตพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า เท่าที่ทราบฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมีเยอะ แต่วุฒิสมาชิกมี 2 ส่วน คือ วุฒิเลือกตั้งและสรรหา ซึ่งวุฒิเลือกตั้งอาจมีส่วนที่เห็นด้วย ให้เลื่อนญัตติมาพิจารณาเร็วขึ้น แต่วุฒิสรรหาตนยังมองไม่ออก จึงไม่แน่ใจว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่ภาพรวมน่าจะก้ำกึ่งกัน อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่เห็นด้วยอยู่เล้ว ที่จะให้เลื่อนญัตติขึ้นมาพิจารณาเร็วขึ้น ไม่คิดว่าจะต้องรีบเร่งอะไรขนาดนั้น เพราะการรีบเร่งมีอะไรบางอย่างที่เป็นนัยะแฝงเร้นอยู่ ดังนั้นน่าจะไปคุยกันให้ตกผลึกทางความคิด และควรที่จะยืดออกไปก่อน เพราะขณะนี้ยังคุยกันไม่ได้