
จิตรกรรม 'ฮูปแต้มสินไซ' ลวดลายเรียนรู้
จิตรกรรม 'ฮูปแต้มสินไซ' ลวดลายเรียนรู้สู่เยาวชนคนดี โดย...สลิล เหลือแจ้ง
ฮูปแต้ม เป็นภาษาอีสานที่มีความหมายว่า ภาพเขียน ในภาษาไทยก็คือภาพจิตรกรรม ส่วนสินไซ คือสังข์ศิลป์ชัยเป็นวรรณกรรมท้องถิ่นของประเทศลาวและถิ่นอีสาน ที่มีคุณค่าทางศาสนา เนื้อเรื่องของสังข์ศิลป์ชัยจึงถูกถ่ายทอดลงบนฝาผนังของโบสถ์ในแถบภาคอีสาน แต่โบสถ์วัดไชยศรีนอกจากมีความโดดเด่นเรื่องการก่อสร้างแล้ว คนในชุมชนยังนำเรื่องราวคุณธรรมของสินไซไปสอนลูกหลานและบูรณาการเป็นความรู้เพื่อสร้างเยาวชนคนดีบ้านสาวะถี
ของวัดไชยศรี ถูกสร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ.2460 โดยการนำของหลวงปู่อ่อนสา ซึ่งมีฝีมือทางด้านช่างอยู่แล้วและได้รับความร่วมมือร่วมใจในการก่อสร้างจากพระสงฆ์ เณร ชาวบ้าน ที่สำคัญโบสถ์แห่งนี้สร้างจากภูมิปัญญาของคนสมัยนั้น โดยที่ไม่ใช้ปูนซีเมนต์ แต่ใช้ทรายผสมยางบง (ยางบงเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติเป็นตัวประสานคล้ายๆ ปูนซีเมนต์) และใช้สีจากธรรมชาติทั้งสิ้น เช่น สีฟ้าจากต้นคราม สีแดงจากต้นครั่ง สีเหลืองจากต้นรัง สีดำจากต้นไฟฉาย สีขาวจากหอยจี้ นั่นเป็นเหตุให้โบสถ์แห่งนี้ ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของกรมศิลปากร ปี พ.ศ.2544
นายสุ่ม สุวรรณวงศ์ อายุ 72 ปี ปราชญ์ชาวบ้านแห่งบ้านสาวะถี ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ที่เลือกเรื่องสังศิลป์ชัยมาเป็นภาพวาด เนื่องจากยังเป็นวรรณกรรมที่ชาวบ้านในแถบอีสานคุ้นเคยในสมัยที่สร้างโบสถ์ เพราะนอกจากเป็นเรื่องเล่าแล้ว ยังนำไปเทศน์ นำไปแสดงหมอลำหรือหนังประโมทัย, หนังตะลุง ประกอบกับหลวงปู่มีความคิดที่เฉียบแหลมมองว่า วรรณกรรมเรื่องนี้มีคุณค่าที่หลากหลายทั้ง บาป บุญ คุณ โทษและยังมีคติธรรมคำสอนสอดแทรกไว้อีกด้วย ซึ่งนำมาสอนและเป็นข้อคิดได้อย่างหลากหลาย
ปัจจุบันพระอาจารย์วสันต์ มหาปุญโญ หรือพระครูบุญชยากร ได้นำชาวบ้านฟื้นฟูทั้งด้านประเพณีวัฒนธรรมและพลิกฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่นให้วัดเป็นศูนย์รวมใจของชาวบ้าน และเป็นแหล่งเรียนรู้นอกตำราสำหรับเด็กๆ อีกด้วย นอกจากเด็กๆ จะได้รับการปลูกฝังประเพณีวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตตามคติที่มีในเรื่องสินไซแล้ว กลุ่มครูอาจารย์ก็ยังมีความคิดนำสิ่งเหล่านี้มาบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอน ทำให้เด็กๆ มีโอกาสที่จะศึกษาและร่วมกิจกรรมภายในวัดอยู่เรื่อยๆ
ขณะที่ อ.มาลี เสาร์สิงห์ อาจารย์สอนวิชาสังคมศึกษา โรงเรียนบ้านสาวะถี กล่าวว่า ความดีเด่นของวรรณกรรมสินไซสะท้อนคุณค่าสุนทรียรสในวรรณกรรมและคุณค่าในเนื้อหาที่ซ่อนแฝงชวนให้ขบคิดมากมาย โรงเรียนจึงสร้างเป็นหลักสูตรวิชาเพิ่มเติมบรรจุในรายวิชาภาษาสังคมและมีการให้เกรด ซึ่งการเรียนการสอนระดับมัธยมต้นจะปูพื้นฐานโดยแบ่งเป็นแปดกลุ่มสาระ และตั้งเป็นหน่วย เช่น หน่วยขันหมากเบ็ง หรือขันหมากเบญ หน่วยจิตรกรรมฝาผนัง และพามาเรียนรู้ยังสถานที่จริง และแต่ละสาระวิชาอาจารย์ประจำวิชาจะมีการผนวกวิชาเรียนกับเนื้อเรื่องให้เข้ากัน เพื่อให้เด็กจดจำได้แม่นยำและรู้จักคติที่สอดแทรกอยู่ในสินไซ เช่น ในหมวดการงานอาชีพก็มีการสอนทำหมอนขันหมากเบน และจากขันหมากเบนในรายวิชาภาษาไทยก็นำไปให้เด็กแต่งกลอนหรือบทความต่างๆ
ส่วนมัธยมปลายจะพยายามให้เด็กคิดวิเคราะห์ถึงที่มาของความเด่นของเรื่องสินไซ พอเด็กคิดวิเคราะห์ได้ด้วยตนเอง เขาจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการหัดคิดวิเคราะห์ไปในตัวเพราะเด็กมัธยมปลายควรจะได้รับการพัฒนาด้านนี้ ซึ่งกิจกรรมนี้ส่งผลให้เด็กหันหน้าเข้าวัด สนใจวิถีชุมชน วัฒนธรรมประเพณีอันดีและร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างไม่เกี่ยงงอน เมื่อเรามีกิจกรรมบ่อยๆ เด็กสนใจที่จะร่วม เวลาว่างที่จะไปมั่วสุมหรือทำเรื่องเสียหายก็หมดไป
ด.ญ.สุภัทรา พลซักซ้าย อายุ 12 ปี นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านสาวะถี กล่าวว่า รู้จักเรื่องสินไซตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่เล่าให้ฟัง แต่เริ่มเรียนหนังสือ อาจารย์ก็สอนคติที่ได้จากสินไซ เช่น เรื่องคุณธรรม ความกตัญญู เวลาวัดจัดกิจกรรมศาสนาก็มาร่วมทุกครั้ง เพราะกิจกรรมไม่น่าเบื่อและนำคติจากสินไซมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นความสำเร็จของผู้คิดกิจกรรมและเป็นประโยชน์ทำให้เด็กห่างไกลยาเสพติด มีกิจกรรมทำเพื่อต่อยอดความรู้ออกไปในอนาคต
..............................
(จิตรกรรม 'ฮูปแต้มสินไซ' ลวดลายเรียนรู้สู่เยาวชนคนดี โดย...สลิล เหลือแจ้ง )