ข่าว

กิน'โอเซลทามิเวียร์'ซี้ซั้วระวังประสาทหลอน !

กิน'โอเซลทามิเวียร์'ซี้ซั้วระวังประสาทหลอน !

11 พ.ค. 2552

ขณะที่กำลังรอผลการยืนยัน "ผู้ป่วยต้องสงสัยไข้หวัดใหญ่ 2009" รายแรกของประเทศไทย จากการส่งเชื้อไปพิสูจน์ที่อเมริกา คนไทยก็เริ่มให้ความสนใจยา "โอเซลทามิเวียร์" ที่กระทรวงสาธารณสุขสำรองไว้กว่า 3 แสนชุด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้

 ความเป็นมาของการสำรองยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) เริ่มขึ้นจากการผลิตมารักษาไข้หวัดใหญ่ที่มักระบาดทั่วโลกเป็นประจำทุกปี แต่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงโด่งดังมากนัก กระทั่ง 5 ปีที่แล้วเกิดการระบาดของไวรัสไข้หวัดนก สายพันธุ์เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) ไปทั่วโลก แพทย์จึงลองสั่งยาตัวนี้ให้คนไข้ ปรากฏว่ารักษาได้ผลอย่างดี จึงต่อเนื่องมาถึงการระบาดไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกสั่งสำรองยาตัวนี้ทันที กระทรวงสาธารณสุขของไทยเองก็สั่งซื้อสำรองไว้กว่า 3 แสนชุด (3 ล้านเม็ด) เช่นกัน

 ความรุนแรงของไข้หวัดนกในไทยเมื่อปี 2547-2549 มีผู้ป่วย 25 ราย เสียชีวิต 17 ราย หลายฝ่ายเริ่มตระหนักว่าการผลิตยาโอเซลทามิเวียร์ได้เองจะประหยัดกว่า เพราะมาตรการรับมือการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ ที่ทั่วโลกเตรียมการนั้น จะเน้นสำรองยาต้านไวรัสให้เพียงพอ โดยมี 3 แนวทาง คือ 1.สั่งซื้อยาสำเร็จรูปจากผู้ผลิตโดยตรง 2.สั่งซื้อผงยาที่ผลิตไว้แล้วก่อนนำมาบรรจุเป็นยาเม็ดเอง 3.สังเคราะห์หรือผลิตยาด้วยโรงงานของประเทศตัวเอง ซึ่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้เลือกวิธีที่ 3 โดยประสานกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้ช่วยด้านการวิจัยในระดับห้องปฏิบัติการ ก่อนส่งให้โรงงานขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) ผลิตเป็นยาจำหน่าย

 "โอเซลทามิเวียร์" เป็นชื่อสามัญ มีบริษัทโรชเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และผลิตยาตัวนี้ขายในชื่อการค้าว่า "ทามิฟลู" โดย อภ.ได้รับอนุญาตให้ผลิตยาต้านไวรัสตัวนี้ได้ในชื่อการค้าว่า "จีพีโอ-เอ-ฟลู" (GPO-A-Flu) ในราคาเม็ดละประมาณ 70 บาท หากสั่งซื้อจากต่างประเทศจะมีราคาเม็ดละ 100 กว่าบาท แต่การผลิตจีพีโอ-เอ-ฟลูต้องทำภายใต้สิทธิบัตรของบริษัทโรช และต้องจำหน่ายภายในไทยเท่านั้น เนื่องจาก 2 -3 ปีที่แล้วบริษัทโรชเห็นว่าไทยอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนก

 เมื่อเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เริ่มคุกคามเข้ามาในเอเชีย นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข จึงสั่งให้ อภ.เริ่มผลิตยาโอเซลทามิเวียร์รับมือไข้หวัดใหญ่ 2009 เพิ่มอีก 1 ล้านเม็ดหรือ 1 แสนชุด

 สิ่งที่น่ากังวลใจขณะนี้ คือ ชาวบ้านหลายคนที่หวาดผวาเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 เริ่มคิดว่ายารักษาที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ไห้อาจไม่ทันกาล จึงคิดจะสั่งซื้อมาเก็บสำรองไว้ส่วนตัวที่ตู้ยาประจำบ้าน กระทั่งตัวแทนกองประชาสัมพันธ์ อภ.ต้องออกมาขอร้องให้ประชาชนเลิกโทรมาสั่งซื้อยาจีพีโอ-เอ-ฟลู เพราะเป็นยาที่อยู่ในความควบคุม ผู้ป่วยจะได้ยานี้ก็ต่อเมื่อมารักษาที่โรงพยาบาล มีแพทย์ดูแลใกล้ชิด และได้รับการวินิจฉัยว่าควรได้รับการรักษาด้วยยาตัวนี้เท่านั้น ดังนั้น จึงไม่ใช่ยาที่วางขายในร้านขายยาทั่วไป หรือสั่งซื้อได้ทางไปรษณีย์ 

 มีหลายเหตุผลที่ยาโอเซลทามิเวียร์ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป หนึ่งในเหตุสำคัญก็คือผลข้างเคียงของยาอาจทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คนไข้กว่า 400 คนในญี่ปุ่นเกิดความผิดปกติทางจิต หรือมีอาการคล้ายประสาทหลอน หลังจากได้รับยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ และมีรายงานว่าเด็กอย่างน้อย 5 คน เห็นภาพหลอนจนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต องค์การอาหารและยาของสหรัฐบังคับให้บริษัทโรชติดคำเตือนผลข้างเคียงที่กล่องยาให้ชัดเจนว่า "อาจทำให้เกิดอาการทางจิตหรือเห็นภาพหลอน"

 รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญโรคระบบติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งแต่งตั้งขึ้นให้เป็นที่ปรึกษาด้านการรักษาไข้หวัดใหญ่ 2009 แก่แพทย์ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ให้ข้อมูลว่า ในที่สุดภาวะการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นทุก 40 ปีก็มาถึงแล้ว โดยกลุ่มแพทย์ที่เฝ้ารอปรากฏการณ์ต่างคาดการณ์ผิด จากที่คิดว่าจะเป็นเชื้อเอช 5 ที่อันตราย แต่กลับเป็นเชื้อ เอช 1 เอ็น 1 ซึ่งเป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ระบาดในสมัยรัชกาล 6 ทำให้คนไทยตายไป 6-8 หมื่นคน

 สำหรับการสำรองยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์นั้น นพ.ทวี กล่าวว่า มีการสั่งสำรองเพิ่มจาก 3 แสนชุด หรือ 3 ล้านเม็ด เป็น 5 แสนชุด หรือ 5 ล้านเม็ดแล้ว โดย อภ.จะรับผิดชอบในการผลิต และต้องเฝ้าดูการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 อย่างใกล้ชิดว่าจะแพร่ระบาดมาที่ประเทศไทยอย่างไร มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน เพราะมาตรการสำรองยาสำหรับโรคระบาดจะต้องมีร้อยละ 20-25 ของจำนวนประชากรในประเทศ หมายความว่าประเทศไทยต้องสำรองอย่างน้อย 10 ล้านชุดหรือ 100 ล้านเม็ด แต่ภาวะปัจจุบันต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย อาจจะยังไม่ต้องสั่งผลิตยาสำรองไว้มากขนาดนั้น โดยคำนึงถึงการป้องกันด้วยวิธีอื่นด้วย เช่น การล้างมือ ปิดปาก ปิดจมูก ซึ่งเป็นการป้องกันการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุด

 "การสำรองยาต้องคำนึงถือเรื่องยาหมดอายุด้วย เพราะยาเป็นสารเคมีจะมีประสิทธิภาพเต็มที่ประมาณ 5 ปี จากนั้นจะลดลงเรื่อยๆ ต้องส่งทดลองในห้องแล็บเป็นระยะๆ เช่น ช่วง 5 ปีแรกยาจะมีประสิทธิภาพ 95-100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อผ่านไป 6 ปี อาจเหลือ 93-94 เปอร์เซ็นต์ ผ่านไป 8 ปีอาจเหลือ 80 เปอร์เซ็นต์ การสำรองยาต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านอื่นๆ ด้วย ขณะนี้สารตั้งต้นในการผลิตยาตัวนี้สามารถสั่งซื้อได้จากอินเดียและจีน" นพ.ทวี กล่าว

 ล่าสุด การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศอาเซียนบวก 3 เพื่อรับมือปัญหาไข้หวัดใหญ่ 2009 ตัวแทนจากประเทศญี่ปุ่นได้แนะนำให้ทุกประเทศในอาเซียนสำรองยาโอเซลทามิเวียร์อย่างน้อยประเทศละ 5 แสนชุดหรือ 5 ล้านเม็ด เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 มีการแพร่เชื้อจากคนสู่คนอย่างรวดเร็วมาก หากเกิดการระบาดขึ้นในเอเชียจริง ยาจากคลังสำรองยาและจากโรงงานผลิตอาจไม่เพียงพอได้ โดยญี่ปุ่นรับปากว่าจะช่วยบริจาคเพิ่ม และได้บริจาคยาชุดแรกให้ประเทศต่างๆ แล้ว 2.5 แสนชุด โดยไทยได้รับการช่วยเหลือยาโอเซลทามิเวียร์จากญี่ปุ่นมา 5 หมื่นชุด