
(เรือน 3 น้ำ 4)
(เรือน 3 น้ำ 4) : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับ ประภัสสร เสวิกุล
มีคำพูดประโยคหนึ่งที่กล่าวถึงสตรีที่เป็นแม่เรือนว่าต้องประกอบด้วย เรือน 3 น้ำ 4 ซึ่งถ้าถามต่อไปว่า เรือนทั้ง 3 และน้ำทั้ง 4 มีอะไรบ้าง? ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงจะออกอาการงงๆ - บังเอิญผมได้อ่านพบเรื่องนี้ จากหนังสือ “มรดกอีสาน” ของศูนย์รวมสงฆ์ชาวอีสาน 37 จังหวัด ซึ่งจัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล ออกเมรุพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) เมื่อ พ.ศ. 2533 จึงขออนุญาตนำมาเล่าต่อโดยสังเขป
เรือน 3 ได้แก่ "เรือนผม เรือนครัว และเรือนนอน" ส่วนน้ำ 4 นั้น ได้แก่ น้ำใช้ น้ำดื่ม น้ำเต้าปูน น้ำใจ ซึ่งในสมัยก่อนถือว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิงจะต้องรู้จักดูแลให้ดี และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับกุลสตรีที่จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามนี้ไว้ โดยการศึกษาและนำไปปฏิบัติให้เข้ากับเหตุการณ์และโอกาสต่างๆ ตามความเหมาะสม
ชาวอีสานมีความเชื่อและคตินิยมเกี่ยวกับเรื่องผมหลายอย่าง เช่นความเชื่อเรื่อง “วันพุธบ่ให้ตัด วันพฤหัสบ่ให้แถ” ซึ่งตรงกับภาคกลางที่ว่า “วันพุธห้ามตัด วันพฤหัสห้ามถอน” ซึ่งมีที่มาจากทางโหราศาสตร์ ที่ถือว่าดาวพุธเป็นดาวแห่งเสน่ห์ และดาวพฤหัสบดีเป็นดาวแห่งความรู้ จึงไม่ควรตัดและถอนในสองวันนี้ นอกจากนี้ชาวอีสานก็ยังเชื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวกับผม เช่น ห้ามตัดผมในหน้านา เพราะปูจะกัดต้นข้าว หรือเวลาที่สามีไปค้าขาย หรือไปคล้องช้าง ก็ห้ามภรรยาตัดผม เพราะจะเกิดอันตรายแก่สามี ซึ่งถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเพราะในหน้านาหรือเวลาที่สามีไม่อยู่บ้านนานๆ ย่อมไม่ใช่เวลาที่จะมาเสริมสวย ทั้งนี้ การที่กล่าวถึงเรือนผม ก็คงไม่ได้มุ่งเฉพาะที่ทรงผม แต่หมายถึงการรู้จักดูแลตัวเองตั้งแต่หัวจดเท้า และการแต่งกายด้วย
เรือนครัว หมายถึงการหุงหาอาหาร ผู้หญิงควรต้องรู้จักการดูแลเรื่องอาหารการกินของคนในครอบครัว ซื้อหาข้าวของแต่พอดีพอควรไม่สุรุ่ยสุร่าย และแบ่งปันอาหารสงเคราะห์เพื่อนบ้านตามควร รวมทั้งต้องตระเตรียมข้าวของต่างๆ ให้พอเพียงไม่ใช่เที่ยวขอหยิบขอยืมจากคนอื่น ดังคำโบราณกล่าวว่า “พริกอยู่เฮือนเหนือ เกลืออยู่เฮือนใต้ หัวสิงไครอยู่เฮือนเพิ่น” ซึ่งแสดงถึงความมักง่ายไม่ตระเตรียมให้ครบถ้วน ส่วน "เรือนนอน" คือห้องนอนหรือสถานที่นอนก็ต้องจัดเก็บให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยปละให้สกปรกรกรุงรัง
สำหรับน้ำ 4 นั้น น้ำใช้ และน้ำดื่ม คงเป็นที่เข้าใจกันได้ว่าเป็นหน้าที่ของแม่บ้านที่จะต้องเตรียมน้ำดื่มน้ำใช้ในบ้านให้พอเพียง โดยเฉพาะในสมัยโบราณ ที่ต้องพึ่งพาน้ำฝน น้ำบ่อ หรือน้ำจากแม่น้ำลำคลอง ส่วน "น้ำเต้าปูน" มีที่มาจากคนในสมัยก่อนนิยมกินหมาก แม่บ้านจึงต้องคอยเติมน้ำในเต้าปูนไม่ให้แห้ง เพราะมิเช่นนั้นก็จะเอาปูนทาใบพลูไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ให้ความสำคัญต่อน้ำในเต้าปูนมาก อย่างไรก็ตามในสมัยหลังๆ การกินหมากเสื่อมความนิยมลง จึงมีคนเปลี่ยนจากน้ำเต้าปูนมาเป็น "น้ำคำ" ซึ่งหมายถึงการพูดจาที่ไพเราะอ่อนหวานรื่นหู ไม่มึงมาพาโวย พูดกระแนะกระแหน หรือการนินทาว่าร้ายผู้อื่น ซึ่งฟังดูแล้วก็พอจะผสมกลมกลืนไปกับเรื่องอื่นๆ ได้
น้ำสุดท้ายคือ น้ำใจ หมายถึงการมีจิตใจดี เยือกเย็น ชุ่มชื่น ต้องเป็นคนที่มีใจคอหนักแน่น อดทนต่อเรื่องต่างๆ ดังคำที่ว่ามี “น้ำอดน้ำทน” มีน้ำใจบริสุทธิ์ สุภาพ เรียบร้อย รักษาน้ำใจสามีและลูกๆ
ในชีวิตปัจจุบันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมทำให้ลักษณะความเป็นแม่บ้านของผู้หญิงไทยแตกต่างไปด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม หลักของเรือน 3 น้ำ 4 ก็น่าจะนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมและวิถีชีวิตได้ และอาจมีส่วนช่วยให้สมาชิกครอบครัวมีความสุขขึ้นด้วยครับ