
ผวา!ผ่าท้องสาวตายทั้งกลมสุดเฮี้ยน
ผวาสาวตายทั้งกลมเมืองอ่างทองเฮี้ยน ญาติสั่งกู้ภัยฯ ผ่าศพนำซากทารกไปฝัง ก่อนเผาศพหญิงสาว ชาวบ้านขนหัวลุก
เมื่อเวลา 00.30 น. 20 ก.พ. 55 ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากนายสนม ผิวบาง อายุ 67 ปี หัวหน้าเจ้าหน้าที่กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ ว่ากำลังจะไปรับศพตายท้องกลมที่วัดเกศทอง ต.ราษฎรพัฒนา อ.สามโก้ จ.อ่างทอง เพื่อนำมาทำการทำพิธีผ่าท้องศพเพื่อนำทารกในครรภ์ออกจากท้องศพ หลังจากรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบยังบริเวณศูนย์กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ ซึ่งตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
ทั้งนี้ เมื่อไปถึงพบว่า นายสนม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ จำนวนหนึ่ง กำลังเตรียมของ และกำลังขุดหลุมเตรียมพร้อมสำหรับฝังศพทารก จากนั้น เจ้าหน้าที่กู้ภัยชุดดังกล่าว ก็ได้ขับรถไปยังวัดเกศทอง เพื่อรับศพมาทำการผ่าท้องที่ศูนย์กู้ภัย ซึ่งพบว่าบริเวณศาลาการเปรียญวัดเกศทองนั้น บรรยากาศเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีเพียงญาติ ๆ ของผู้เสียชีวิต คือ น.ส.จุฑารัตน์ สุขคล้าย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 ม.5 ต.ราษฎรพัฒนา อ.สามโก้ จ.อ่างทอง ซึ่งเสียชีวิตเนื่องจากประสบอุบัติเหตุทางท้องถนน โดยในขณะที่เสียชีวิตนั้น กำลังตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน
จากการสอบถาม นางสัมฤทธิ์ สุขคล้าย อายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ 5 ต.ราษฎรพัฒนา อ.สามโก้ จ.อ่างทอง แม่ของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ลูกของตน เมื่อก่อนนี้มีอาชีพเป็นแดนเซอร์ตามวงดนตรีต่าง ๆ หลังจากตั้งท้องลูกคนแรกเมื่อประมาณ 4 ปีก่อน ก็เลิกเป็นแดนเซอร์แล้วหันมาทำนาแทน จนกระทั่งตั้งท้องลูกคนสอง ได้เพียง 5 เดือน ก็ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกับรถจักรยานยนต์ด้วยกัน เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา จนเสียชีวิต และได้นำศพมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเกศทอง แต่ก็มาประสบปัญหาเกี่ยวกับศพ เนื่องจากลูกของตนถือว่า เป็นผีตายทั้งกลม โบราณเขาถือว่าเฮี้ยน และที่สำคัญทางวัดก็ไม่ยอมให้เผาศพด้วย อีกทั้งชาวบ้านก็ต่างหวาดผวา เกรงกลัวจนไม่ค่อยมีใครมาสวดศพ และที่สำคัญมีคนเห็นลูกสาวของตน หลังจากประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต มายืนอยู่ตรงบริเวณที่โดนรถชน ทำให้ชาวบ้านต่างหวาดผวามากยิ่งขึ้น ตนและญาติจึงปรึกษากับนายสนม ซึ่งก็เปรียบเสมือนเป็นญาติคนหนึ่งเหมือนกัน จึงได้ข้อสรุปว่าจะต้องจะต้องผ่าท้องศพลูกของตน เพื่อนำเด็กในท้องออกมาฝัง แล้วจึงจะสามารถเผาศพลูกของตนได้ซึ่งตอนแรกก็จะผ่ากันที่วัด แต่ทางพระก็กลัวไม่ยอมให้ผ่า ตนจึงต้องให้นายสนมนำศพไปผ่าที่ศูนย์กู้ภัยแทน
ด้านนายสนม กล่าวว่า โบราณเขาว่ากันไว้ว่า เมื่อมีคนตายท้องกลมนั้น ไม่สามารถนำไปเผารวมกันได้ เนื่องจากทารกในครรภ์ยังถือว่า อวัยวะยังไม่ครบ ต้องรอจนกว่าจะมีฟันขึ้นถึงจะทำการเผาได้ หากเผารวมกันไปแล้วนั้น จะทำให้วิญญาณคนตายเฮี้ยน ดังนั้น คนที่ตายท้องกลมจึงจะต้องผ่าเอาเด็กในท้องออกมาฝังก่อน จึงจะทำการเผาศพแม่ได้
นายสนม กล่าวต่อว่า เมื่อก่อนตนมีอาชีพเป็นสัปเหร่อ แล้วต่อมาก็หันมาเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัย แต่ก็มีคนมาติดต่อให้ตนไปช่วยจัดการเรื่องศพอยู่เป็นประจำ ซึ่งตนศึกษาและทำด้านนี้มากว่า 30 ปี และทำการผ่าท้องศพเพื่อนำเด็กออกมาฝังหลายศพแล้ว โดยจะฝังศพเด็กไว้ที่บริเวณพื้นที่รอบ ๆ ศูนย์กู้ภัยนี้ ซึ่งเป็นที่ของวัด ศพทารกคนนี้ถือว่า เป็นศพที่ 27 แล้วที่นำมาฝังไว้ ส่วน 26 ศพ ก่อนหน้านี้ มีทั้งที่ผ่าท้องออกเนื่องจากตายท้องกลม แล้วยังมีทารกที่แท้ง และโดนทำแท้งรวมอยู่ด้วย ซึ่งในการทำการผ่าศพนั้น จะต้องมีพิธีกรรมด้วย โดยจะต้องเตรียมเครื่องไหว้ได้แก่ดอกไม้ ธูป เทียน พวงมาลัย เหล้าขาว บุหรี่ และเงินอีกจำนวน 12 บาท รวมทั้งต้องมีเสื้อผ้าเด็กอ่อน ถุงมือสำหรับเด็ก ของใช้เด็กไม่ว่าจะเป็นแป้ง สบู่ ผ้าอ้อม ขวดนม นม และน้ำ สำหรับฝังรวมไว้ในหลุมให้เด็กด้วย และเมื่อฝังศพเด็กแล้ว ก็ต้องนำศพแม่กลับไปคืนยังวัดเพื่อทำพิธีเผาศพต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ นายสนม ได้รับศพออกมาจากวัด และนำมาไว้ที่ศูนย์กู้ภัยแล้ว ก็ได้ไปทำพิธีไหว้ครูพร้อมทั้งทำน้ำมนต์สำหรับใช้ในพิธี จากนั้นก็มาไหว้ขอขมาศพ แล้วใช้มีดหมอซึ่งตกทอดมาจากอาจารย์ถึง 4 รุ่น ซึ่งมีดนั้นทำมาจากตะปู 7 ป่าช้า มาทำการผ่าท้องศพ ก่อนนำศพเด็กออกมาจากท้อง จากนั้นก็ได้ทำการเย็บปิดแผลให้กับศพนางสาวจุฑารัตน์ และนำศพเด็กที่ผ่าออกมาซึ่งพบว่าเป็นเพศชาย น้ำหนักประมาณครึ่งกิโล ลำตัวยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ไปฝังยังหลุมที่เตรียมไว้ โดยนำเสื้อผ้า ของใช้เด็ก น้ำ และนมที่เตรียมไว้ ใส่ไปในหลุมด้วย จากนั้นก็พรมน้ำมนต์แล้วกลบหลุม ก่อนที่จะนำศพแม่ไปส่งคืนที่วัด ก่อนจะทำการเผาศพในวันรุ่งขึ้น ส่วนศพเด็กที่ผ่าออกมาแล้วนำไปฝังนั้น ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยตั้งชื่อให้ว่า “น้องอุทิศ”