ข่าว

อองซาน ซูจีและThe Lady

อองซาน ซูจีและThe Lady

20 ก.พ. 2555

อองซาน ซูจีและThe Lady : วันเว้นวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ กับ ประภัสสร เสวิกุล

               เกียรติชัย พงษ์พาณิชย์ เขียนไว้ในหนังสือ “พม่าผ่าเมือง” (สนพ.ประพันธ์สาส์น พ.ศ.2553) ว่า “ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น ชีวิตของอองซาน ซู จี ดูเหมือนจะเผชิญกับชะตากรรมทางการเมืองมาแล้วแต่เด็ก เพราะในวัยที่ยังไร้เดียงสา ผู้เป็นบิดาซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษชองพม่า คือนายพลอองซาน ก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้กับอำนาจของอาณานิคมอย่างสาหัสสากรรจ์
   
             ผลสำเร็จอันนำความปลาบปลื้มมาสู่คนพม่า ก็คือชัยชนะของมาตุภูมิต่อความเป็นเอกราชของพม่าที่สามารถปลดปล่อยแอกหลุดจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษ เขาคือบิดาของประเทศ นำพาพม่าเข้าสู่ยุคใหม่ที่มีศักดิ์และศรีในเอกราชและอธิปไตยดั่งนานาอารยประเทศ
   
             แต่โชคชะตาของพม่านั้นผกผันเกินกว่าใครจะคาดคิดถึง ความไม่พอใจในหมู่ที่ไม่เห็นด้วยกับการแยกพม่าออกเป็นรัฐอิสระต่างๆ ระเบิดขึ้นถึงขั้นได้มีการบุกเข้าสังหารนายพลอองซาน กับคณะเสียชีวิต เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2490 (1947)”
   
             ภาพยนตร์เรื่อง The Lady เปิดฉากด้วยการเสียชีวิตของนายพลอองซาน ซึ่งทำให้ธิดาคนเดียวคือ อองซาน ซูจี ต้องเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ จนสำเร็จการศึกษาและแต่งงานกับอาจารย์มหาวิทยาลัย มีบุตรชายด้วยกัน 2 คน แต่ชีวิตแม่บ้านของเธอต้องพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเดินทางกลับไปดูแลมารดาซึ่งป่วยหนักที่พม่า ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ขบวนการนักศึกษาทำการประท้วงรัฐบาลเผด็จการทหารที่ครองอำนาจมายาวนานถึง 26 ปี แต่ก็ถูกปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้ ซู จี ต้องยอมรับเป็นผู้นำในการต่อสู้ทางการเมือง และร่วมจัดตั้งพรรคแนวร่วมแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากฝ่ายรัฐบาลต่างๆ นานา จนถึงขั้นถูกกักบริเวณอยู่ภายในบ้าน อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลทหารพม่าจำต้องยินยอมให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี พรรคของซู จีก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่คณะทหารปฏิเสธผลการเลือกตั้ง และคงใช้อำนาจเผด็จการต่อไป โดยซู จีถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านหลายครั้งหลายหน จาก พ.ศ.2532-2553 แต่การยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจอันไม่เป็นธรรมโดยสันติวิธี ส่งผลให้เธอได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ.2534
   
             ในภาพยนตร์เรื่อง The Lady ได้นำเสนอภาพของอองซาน ซู จี ผ่านการแสดงของมิเชล โหยว ซึ่งรับบทบาทของสุภาพสตรีนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพได้อย่างแนบเนียน และที่น่าสนใจอย่างมากก็คือการที่บอกเล่าเรื่องราวของซู จี ด้วยความเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตที่เรียบๆ กับครอบครัว แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องเลือกระหว่าง “สามีและลูก” กับ “ประเทศชาติ” เธอก็เลือกประเทศชาติ โดยยินยอมเสียสละทั้งสามีและลูกซึ่งเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของเธอ และการแสดงถึงความป่าเถื่อนของสมุนเผด็จการ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การทารุณ การทรมาน หรือการสังหารอย่างโหดเหี้ยมเท่านั้น แต่กับการที่คนเหล่านั้นไม่รู้จักแม้กระทั่ง “เสียงเพลง” จากเปียโน ก็เป็นสิ่งที่น่าหดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง
   
             เรามักจะได้ยินคำพูดว่า “เบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชาย มักจะมีผู้หญิงอยู่เสมอ” แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ คงจะต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “เบื้องหลังความสำเร็จของผู้หญิง มักจะมีผู้ชายอยู่ด้วยเสมอ” เพราะใน The Lady บุคคลสำคัญที่มีส่วนในการสนับสนุนในการต่อสู้ของเธอ ผลักดันให้เธอได้รับรางวัลโนเบล และคอยเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลา แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันนานนับเป็นปีๆ ก็คือสามีของเธอเอง
   
             ภาพยนตร์เรื่อง The Lady เป็นภาพยนตร์ที่ดีทั้งเนื้อเรื่อง การสร้าง และการแสดง แม้ว่าจะให้ภาพด้านบวกของอองซาน ซู จี และด้านลบของผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหารเพียงด้านเดียว แต่ก็ทำให้สามารถเข้าใจความเป็นไปในพม่าได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผมไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่นัก กับการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับการต้อนรับจากคนไทยเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นโอกาสดีในการทำความรู้จักกับประเทศเพื่อนบ้านและสมาชิกอาเซียน รวมทั้งเรื่องราวของชีวิตและการต่อสู้ของสตรีที่โลกยกย่อง
   
             นอกจากเราจะไม่รู้จักพม่า ไม่รู้จักอองซาน ซู จีแล้ว ผมไม่อยากเชื่อหรอกครับว่าเราก็ไม่รู้จัก “ภาพยนตร์” ด้วย