
'สุชาติ'โละแป๊ะเจี๊ยผุดเปิดห้องเรียนบริจาค
'สุชาติ'เปลี่ยนแป๊ะเจี๊ยเป็นเงินบริจาค มอบนโยบาย ร.ร.ดังรับนักเรียนประปีการศึกษา 2555 เปิดห้องเรียนรับเด็กฝากโดยเฉพาะ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ ติงถ้าทำแบบนี้ แป๊ะเจี๊ยะจะกลับมา
13 ก.พ.55 ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวตอนหนึ่งระหว่างประชุมมอบนโยบายให้ผู้อำนวยการโรงเรียนประจำจังหวัดทั่วประเทศ ผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีวัตถุประสงค์พิเศษ และผู้อำนวยการโรงเรียนประถมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ที่มาสัมมนาเรื่องรับนักเรียนปีการศึกษา 2555 ที่ รร.มิราเคิลแกรนด์ กรุงเทพฯ ผ่านระบบวิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์จากกระทรวงศึกษาธิการ ว่า มีคนถามมามากเรื่องการรับนักเรียน ตนอยากให้การรับนักเรียนมีความโปร่งใสเป็นธรรม มีคนมาฝากเด็กกับตนบ้างซึ่งตนก็ประกาศชัดเจนไปว่า ไม่รับฝากนักเรียน ให้จัดการไปตามระเบียบ เข้าใจว่า มีโควต้ารูปแบบต่าง ๆ อยู่ โควต้าในเขตพื้นที่ก็มีจำนวนหนึ่ง ก็ให้เอาคะแนนมาดูและจัดการตามนั้น
“มีคนถามผมเรื่อย ๆ เรื่องแป๊ะเจี๊ยะ ซึ่งผมเปลี่ยนชื่อเป็นเงินบริจาคแล้ว ฉะนั้นถ้าสถานศึกษาแห่งไหน บอกว่างบประมาณที่กระทรวงศึกษาธิการจัดให้ไม่พอจะรับเงินบริจาคก็ประกาศให้โปร่งใส อาจจัดห้องเรียนในส่วนเพิ่มเติมไป แต่เด็กก็ต้องมีความสามารถพอสมควร ถ้าไม่มีความสามารถเลย ก็คงไปรับบริจาคไม่ไหว เพราะฉะนั้นเด็กก็ต้องมีความสามารถพอสมควร มีห้องเรียนเฉพาะอีกห้อง และต้องเอาเงินบริจาคมากระจายให้ทั่วโรงเรียน เรื่องนี้ผมขอฝากกับผู้อำนวยการโรงเรียน ต่อไปจะไม่มีแป๊ะเจี๊ยะ มีแต่การบริจาค สมัยดึกดำบรรพ์ในยุคกรีก การศึกษาจัดโดยการบริจาคเงินของคนพอมีฐานะ มีฉะนั้นแล้ว ทุกคนต้องจ้างครูเก่ง ๆ ไปสอนลูกตัวเองในบ้าน ซึ่งมีอยู่คนเดียวมันก็เป็นไปไม่ได้” ศ.ดร.สุชาติกล่าว
รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามขอฝากโรงเรียนเก่ง ๆ ให้ช่วยเพิ่มจำนวนโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องที่ดำเนินการอยู่เป็น 2 เท่า ปัจจุบันทุกคนแย่งกันเข้าโรงเรียนดัง เพราะฉะนั้นโรงเรียนกลุ่มนี้ เช่น โรงเรียนสวนกุหลายวิทยาลัย โรงเรียนสตรีวิทยา และโรงเรียนสาธิตต่าง ๆ ควรจะเข้าไปช่วยดูแลโรงเรียนที่ยังด้อยคุณภาพและต้องการความช่วยเหลือให้มากขึ้น ขอให้เพิ่มจำนวนโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องเป็นสองเท่า เพราะจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่ายังมีโรงเรียนที่มีปัญหาด้านคุณภาพกว่าหมื่นโรง ที่เหลือสองหมื่นโรงก็ยังมีความไม่เท่าเทียมกันอยู่
"ขณะเดียวกัน ศธ.จะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการศึกษามากขึ้น ทุกโรงเรียนต้องมีWiFi ซึ่งขณะนี้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที กำลังเร่งติดตั้งให้อยู่ แต่หากดำเนินการไม่ทันใจศธ.จะใช้งบประมาณของตัวเองไปดำเนินการเอง เพราะWiFi จะรองรับแท็บเล็ตที่จะซื้อ 900,000 แสนเครื่องเพื่อแจกนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยในส่วนของนักเรียนจะได้ประมาณ 850,000 เครื่อง และขอย้ำว่าแท็บเล็ตจะให้นักเรียนเอากลับไปใช้ที่บ้านด้วย ถ้าให้ยืมเรียนเฉพาะตอนกลางวันก็จะเหมือนสมัยที่ตนเป็นนักเรียน ที่มีการให้ยืมตำราเรียน เฉพาะเวลากลางวันกลางคืนก็ไม่รู้จะทำอะไร ส่วนที่ห่วงว่าถ้าให้เด็กนำแท็บเล็ตกลับบ้านไปเด็กจะทำให้เครื่องเสียหายนั้น ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัยจริงก็ต้องจัดหาเครื่องใหม่ทดแทนให้เด็ก บอกแล้ว่านโยบายใหญ่ของเราคือ ดูแลลูกหลานประชาชนเหมือนลูกหลายของตัวเอง แต่ถ้าเสียหายจากกรณีอื่นเช่น เด็กทำเครื่องตก กรณีนี้ผู้ปกครองอาจต้องรับผิดชอบ "ศ.ดร.สุชาติ กล่าว
ศ.ดร.นายสุชาติ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนั้นตนขอฝากโรงเรียนให้ความสำคัญกันการสอนภาษาอังกฤษและภาษาจีนด้วย โดยในวันที่ 25-27 ก.พ.นี้ ตนจะเดินทางไปสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ซึ่งจะมีการลงนามในข้อตกลงพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนระหว่างประเทศไทยและจีน โดยรัฐบาลจีนจะส่งครูจีนจำนวน 5,000 คนมาช่วยสอนในโรงเรียนของไทย และให้ทุนครูไทยไปพัฒนาการเรียนการสอนอภาษาจีนที่ประเทศจีนอีก 1,000 ทุน ส่วนการเรียนการสอนภาษาอังกฤษนั้น จะมีการจัดหาครูจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ หรืออย่างน้อยต้องเป็นครูที่จบเอกอังกฤษโดยตรงมาสอนเด็กซึ่งตนกำลังหารือกับนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ว่าถ้าจำเป็น อาจจะมีการให้รับชาวต่างชาติที่เป็นนักท่องเที่ยวแบคแพ็คมาอบรมวิธีการสอนเพื่อให้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เพราะบางโรงเรียนไม่มีความสามารถที่จะจัดจ้างครูชาวต่างชาติได้จริง ๆ ทำให้โอกาสของเด็กแต่ละโรงเรียนไม่เทียมกัน
“ผมยังเห็นด้วยกับการเลื่อนเปิดเทอมให้สอดคล้องกับประเทศอาเซียน เพราะปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาจำนวนมากจัดการเรียนการสอนในระบบอินเตอร์อยู่แล้ว ก็สมควรเลื่อนการเปิดภาคเรียนของสถานศึกษาให้ตรงกับประเทศอาเซียน ไม่เช่นนั้นนักเรียนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศก็จะเสียเวลาเรียนไปอีก 1 ปี”ศ.ดร.สุชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ ติง "สุชาติ"ถ้าทำแบบนี้ แป๊ะเจี๊ยะจะกลับมา
นายอำนวย สุนทรโชติ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่ ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.)ได้มอบนโยบายรับนักเรียนประจำปีการศึกษษา2555 ต่อผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังทั่วประเทศเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ว่า สามารถเปิดห้องเรียนรับบริจาคได้ นั้น การที่ท่าน รมว.ศธ. ได้แถลงนโยบายการรับนักเรียนปี 2555 โดยไม่ได้ระบุมาตรการที่จะต้องทำคือ 1.ไม่ได้กำหนดให้ชัดเจนว่าเงื่อนไขพิเศษคืออะไร 2.ไม่ได้กำหนดให้การรับเด็กมีรอบเดียว 3.ไม่ได้กำหนดให้การตรวจสอบดำเนินการโดยคนนอกกระทรวง 4.ไม่ได้กำหนดขั้นตอนการรายงานข้อมูลเพื่อการตรวจสอบให้ชัดเจน
"การกระทำดังกล่าวจะทำให้ปัญหาแป๊ะเจี๊ยะและการฝากเด็กกลับมารุนแรงเหมือนเดิม ทั้งๆที่ปี 2554 เราสามารถแก้ปัญหานี้ไปได้เกือบหมดแล้ว และโรงเรียนแข่งขันสูงก็ลดลงไปจำนวนมากมาย เราไม่น่าที่จะกลับไปที่เดิมอีก ผมขอแสดงความผิดหวังอย่างแรงต่อรัฐมนตรีศึกษาฯท่านนี้ และผมจะดำเนินการทุกอย่างเพื่อหยุดปัญหานี้ให้ได้ แม้กระทรวงศึกษาธิการจะไม่สนับสนุนก็ตาม"ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ กล่าว
นักวิชาการ ค้านเปิดห้องเรียนเด็กบริจาค
รศ.ดร.สมพงษ์ จิตรระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นโยบายให้โรงเรียนดังเปิดห้องเรียนเพิ่มเติมเพื่อรับเด็กของผู้บริจาคเงินให้โรงเรียนนั้น เป็นตี่การเปลี่ยนสารจากคำว่า แป๊ะเจี๊ย ให้ดูดีขึ้น แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงจะไม่มีวันโปร่งใส เพราะโดยธรรมชาติของระบบเช่นนี้ไม่เคยเกิดความโปร่งใสได้ สุดท้ายก็จะเกิดการวิ่งเต้นฝากเด็ก มีการเรียกรับเงินเพื่อแลกที่เรียน แต่เงินที่เรียกมาจากผู้ปกครองกลับไม่เข้าโรงเรียน การรับเด็กจะกลายเป็นสีเทาอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น จะต้องระมัดระวังให้มาก
“จะเกิดความไม่ตรงไปตรงมาอย่างแน่นอนและตรวจสอบยากด้วย เกิดขบวนการนายหน้าวิ่งฝากเด็ก รวมทั้ง เป็นการเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจการเมืองหรือการเงินแทรกแซงการรับนักเรียนได้ เกิดความเหลื่อมล้ำ ผู้ในอำนาจการเมือง หรือผู้ที่มีฐานะการเงินที่ดี จะได้เปรียบ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนี้ พูดเรื่อง 2 มาตรฐาน พูดเรื่องความเหลื่อมล้ำ มาตลอด ทำอย่างนี้ก็เท่ากับกลืนน้ำลายเสียเอง ขอย้ำว่า เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของการแบ่งปัน เอาเงินบริจาคคนรวยมากระจายในโรงเรียน แต่เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน เป็นเรื่องของความอยุติธรรมในสสังคม “ รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
รศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า นโยบายนี้อาจส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีในหมู่นักเรียนด้วย นักเรียนทั่วไปจะรู้สึกว่า นักเรียนที่เข้าด้วยโควตาบริจาคเงินเป็นพวกอภิสิทธิ์ชน โดยเฉพาะนักเรียนที่ต้องพลาดโอกาสเข้าโรงเรียนดังเพราะถูกเด็กกลุ่มบริจาคเบียดที่นั่งนั้น อาจรู้สึกรุนแรงกับเด็กกลุ่มนี้ได้