
'สมคิด-วรเจตน์'มองต่างมุมม.112
"วรเจตน์-สมคิด"2ลูกแม่โดมมองต่างมุมม.112 "อธิการบดีมธ." เชื่อคำสั่งห้ามใช้สถานที่จะช่วยลดความร้อนแรงในสังคม ติงนิติราษฎร์เริ่มนอกลู่นอกทาง ป้อง "วรเจตน์" ไม่ใช่พวกล้มเจ้า ด้านนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ย้อน "สมคิด" นิติราษฎร์เคลื่อนไหวการเมืองอย่างไร มองเ
3ก.พ.2555 รายการ "คม ชัด ลึก" ทางสถานีโทรทัสน์เนชั่นชาแนล ได้จัดรายการตอน "ธรรมศาสตร์ ...นิติราษฎร์...มาตรา112" โดยมีผู้ร่วมรายการประกอบนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีคำสั่งห้ามใช้พื้นที่เคลื่อนไหวแก้ไขประมวลกฎหมายมาตรา 112 (มธ.) และนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มธ. นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์
"สมคิด"แจงห้าม"นิติราษฎร์"เคลื่อนไหวหวั่นปัจจัยภายนอกสุมไฟ
นายสมคิด กล่าวว่า เป็นธรรมดาที่จะต้องเจอแรงบีบ และอธิการบดีทุกท่านที่ผ่านมาก็คงเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าถามว่าเจอฝั่งไหนมากกว่า ต้องบอกว่าผมเจอแรงบีบจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มนิติราษฎร์มากกว่า เพราะตลอด 1 ปีที่ให้นิติราษฎร์เคลื่อนไหวก็เจอคำทักท้วงต่างๆ ทั้งระดับล่างและระดับสูง ซึ่งผมก็รับฟังแต่ก็ต้องพิจารณาไปตามหลักเหตุผล จะไปทำอย่างที่เรียกร้องไม่ได้
"ในตอนแรกกลุ่มอาจารย์คณะนิติราษฎร์ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ใช้เสรีภาพตามปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ ยิ่งเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ก็ยิ่งต้องให้เสรีภาพ เพราะกลุ่มนิติราษฎร์ก็มีความคิดใหม่ๆ ซึ่งขณะนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเคลื่อนไหวทางการเมือง หากแต่มีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การระดมจำนวนผู้ฟังของกลุ่มผู้สนับสนุนที่มากขึ้น การล่ารายชื่อจากกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่นิติราษฎร์ รวมไปถึงการเคลื่อนไหวต่อต้านในพื้นที่ต่างๆ เช่นที่จ.นครราชสีมา การส่งคำถามไปถึงนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบก อาจส่งผลต่อการเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงในอนาคต เพราะถ้าเป็นเชิงความคิดก็คงไม่เป็นไร แต่กังวลว่าจะมีเรื่องอื่นแฝงเข้ามา"
เชื่อวงแก้ม.112ล่มหลังสังคมต้าน
ดูจากบรรยากาศในสังคมแล้ว วันนี้ถามว่าคนที่อยากแก้ ม.112 มีกี่คน แม้กระทั่งคนที่คัดค้านผมก็อาจไม่เห็นด้วยกับการแก้ม.112 และคนที่ไม่อยากให้แก้ ดูเหมือนจะเยอะกว่าด้วย ทั้งนี้ผมไม่ได้วัดความถูกต้องที่จำนวน แต่หากมีผู้คัดค้านมากก็ส่งผลให้สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไป และมติกรรมการบริหาร ก็เห็นว่ามันอาจส่งไปถึง จุดที่มีความรุนแรง ทำให้การใช้สิทธิความเห็นทางวิชาการมีแนวโน้มจะเคลื่อนไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง นำไปสู่ความไม่สบายใจ ขยายวงกว้างขึ้นมา
รับกฎหมายหมิ่นแก้ได้แต่ยังไม่ถึงเวลา
ส่วนข้อเสนอทางวิชาการทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การลบล้างผลพวงรัฐประหาร การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น โดยหลักแล้วบางส่วนผมก็เห็นด้วย หากวิธีการในรายละเอียดต่างกัน อาทิ ในส่วนของ ม.112 มองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวกฎหมาย อาจจะมีจุดจะปรับปรุงบ้างในส่วนของโทษ ซึ่งก็ยังไม่ใช่ปัญหา แต่ทั้งนี้มาจากกระบวนการยุติธรรมทางอาญา อันศึกษาได้จากคำพิพากษาใน ม.112 หลายคดีที่มีปัญหา อาทิ กรณีของนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นิติราษฎร์ทำนั้นเป็นไปตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ เพียงแต่พอเปิดประเด็นเยอะ คนเลยมาโต้แย้ง ผมเชื่อว่านิติราษฎร์มีความหวังดี ไม่อยากให้ ม.112 ถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อ และคิดว่าเฉพาะประเด็นนี้มันมีปัญหาจริงๆ แต่อยู่ที่วิธีการบังคับใช้กฎหมายมากกว่า และยังไม่จำเป็นต้องแก้ไขในขณะนี้ และเรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์
“มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นครับ ทั้งการที่อาจารย์วรเจตน์ โดนเผาหุ่น คณะวารสารฯ รวมตัวโดยมีคนที่สนับสนุนนิติราษฎร์ไปแสดงความเห็นตรงนั้นอีก ดังนั้นถ้าจะทำเช่นนี้ต่อไปมันก็อาจจะมีปัญหาได้ ผมเองก็เคยโดนขู่ อาจารย์วรเจตน์ก็คงโดน และผมเชื่อว่าหากนิติราษฎร์ไม่หยุด กลัวจะมีคนจากที่ต่างๆ มาคัดค้านด้วย เพราะไม่แน่ว่าอาจจะมีคนที่มีกำลังใช้ความรุนแรงก็ได้ หากใครมาล้อมระหว่างที่นิติราษฎร์จัดกิจกรรม อาทิ มีคนเขวี้ยงสิ่งของเข้ามา ผมเป็นอธิการบดีจะทำอย่างไร และถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น ผมเองก็ต้องร่วมรับผิดชอบ ผมไม่ได้ห่วงเนื้อหาที่เขาพูด ไม่ได้บอกว่านิติราษฎร์เคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ลักษณะเช่นนี้มันพาไป อาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ได้ และมันจะทำให้เรื่องนี้มันพ้นเสรีภาพแล้วและเข้าข่ายการเคลื่อนไหวทางการเมือง”
เมื่อถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มาจากการเสวนาของกลุ่มนิติราษฎร์ แต่เป็นความกังวลว่าจะมีการแสดงพลังคัดค้านจากกลุ่มอื่นจนเกิดเหตุรุนแรงใช่หรือไม่ นายสมคิด กล่าวว่า ถูกต้อง เราก็ทำหน้าที่ ขณะนี้ตำรวจก็ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยอยู่ ตอนนี้ทุกกิจกรรมตนก็กำชับให้ดู แต่เหตุการณ์มันอาจจะเกิดขึ้นได้ ตนเคยบอกว่าเหตุการณ์จะเหมือน ตุลาฯ 19 แต่มันมีแววว่าจะส่อไปถึงเหตุการณ์ใหญ่โตได้ และถ้ากลุ่มสยามประชาภิวัฒน์มาขอจัดกิจกรรมวันเดียวกัน ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ความสามารถของความรักษาความปลอดภัยสามารถทำได้มากแค่ไหน ถ้าทำได้เหตุการณ์เมื่อปี 52-53 คงไม่เกิด เหตุนี้เลยต้องยุติไปก่อน
บอกมธ.ยังเสรีภาพทุกตารางนิ้ว
นายสมคิด กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้ตัดสินใจบนความเห็นต่าง และไม่ได้ห้ามพูดเรื่องม.112 ยืนยันอนุญาตให้พูดได้ จะพูดเรื่องรัฐธรรมนูญ ล้มล้างรัฐประหาร ทำได้หมด เรามีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว แต่ถ้าธรรมศาสตร์จะถูกใช้เป็นเหตุขัดแย้งที่บานปลายมันก็ต้องควรยุติก่อน และตนเชื่อว่าอธิการบดีคนไหนเจอแบบผมก็จะตัดสินใจด้วยประโยชน์ส่วนรวมไว้ก่อนแบบนี้
"ใครจะมองว่าที่เหตุการณ์เป็นเช่นนี้เพราะมีบางกลุ่มเอานิติราษฎร์มาเป็นประเด็นการเมืองหรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ อาจารย์วรเจตน์เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย และผมก็เห็นใจนิติราษฎร์ที่ถูกกล่าวหาว่าเนรคุณ ล้มเจ้า ซึ่งไม่จริงเลย และใครที่ไม่เห็นด้วยก็ควรจะมาต่อสู้ทางวิชาการว่าการเสนอให้ลดโทษ แบ่งหมวด ฯลฯ ใน ม.112 มันไม่ดีอย่างไร" อธิการบดีมธ. กล่าว
ด้านนายวรเจตน์ กล่าวว่า กลุ่มนิติราษฎร์คงยังไม่จัดกิจกรรมอื่นใดอีกในขณะนี้ ที่ผ่านมาการเสนอความเห็นของนิติราษฎร์ไม่มีผลประโยชน์ และไม่ขอรับเงินบริจาคใดๆ อย่างไรก็ตามการจะตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้สวมเสื้อแดงมาฟังเราเยอะ ผมคงจะไปห้ามไม่ได้ ใครใส่เสื้อไหนก็มาได้ทั้งนั้น มาฟังว่าเราเสนออะไร ยืนยันว่าเสนอไปตามวิชาการ ไม่มีหน้าที่เสนอกฎหมายแต่อย่างใด เพราะเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (ครก.112) หากจะลงชื่อแก้ก็เป็นการใช้สิทธิ์ตามปกติที่รัฐธรรมนูญรับรอง ไม่ได้ทำอะไรนอกกรอบกฎหมายนั่นเอง และก็ไม่มีใครมีอำนาจแก้กฎหมายนอกจากรัฐสภา
"จุดยืนของอาจารย์สมคิดกับผมต่างกันอย่างสิ้นเชิงหลังจากเกิดรัฐประหาร แต่จะมีส่วนในมติกรรมการบริหารหรือไม่ ผมไม่ทราบ แต่ก็พยายามเข้าใจว่าท่านอาจจะมีแรงกดดันหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น ผมเป็นนักกฎหมายมหาชน มีจุดยืนไม่รับรัฐประหาร เราก็ทำเพื่อส่วนรวมเหนื่อยก็พักแล้วค่อยเดินต่อ ผมรักการสอนการอ่านหนังสือ ไม่ได้คิดจะไปร่างรัฐธรรมนูญหรือรับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น แต่ขอให้มีพื้นที่แสดงความเห็นอย่างอิสระ เลิกป้ายสี ให้เอาเหตุผลมาโต้แย้งกัน" นายวรเจตน์ กล่าวและว่า
มองเป็นเรื่องดีถูก“เสื้อแดง”ทิ้งชัดเจนไม่ยุ่งการเมือง
นิติราษฎร์ไม่ได้เป็นแขนของใคร นิติราษฎร์มีแค่ 7 คน เป็นอิสระ ไม่มีใครสั่งได้ ผมไม่ชอบที่เสื้อแดงพูดมาหาว่าเราเป็นแขนของเขา เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเสนอความเห็นตามหลักวิชาการแล้วจะไปมีผลกระทบกับการเมืองนั้นไม่เกี่ยวกับเรา ผมดีใจที่พรรคเพื่อไทยหรือคนเสื้อแดงบอกว่าไม่เกี่ยวกับนิติราษฎร์ และถ้ามารับข้อมูลจะรู้ว่าที่คณะเสนอกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 25 คน ไม่ถูกใจกลุ่มเสื้อแดงด้วยซ้ำไป
"มีคนมาขู่ผม ผมก็ยังงงว่าเขาขู่เรื่องอะไร เพราะจะแก้กฎหมายหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับผมเลย หรือมีข่าวว่าจะเอาเรื่องทางวินัย ผมเรียนว่าเชิญเลยครับ เชิญเอาผิดตามสะดวก ถ้าท่านคิดว่ามีความผิดก็ตั้ง นี่ไม่ได้ท้าทาย แต่คนเป็นนักกฎหมายต้องมีหลัก ไม่ใช่สังคมเพลี่ยงพล้ำแล้วจะทำ ใครต่อต้านก็แสดงความเห็นไป แต่ที่ผมทำไม่มีความผิด และไม่ใช่ขบวนการล้มเจ้าอย่างที่กล่าวหากัน คนที่โจมตีผมรู้รึเปล่าว่าผมเสนออะไร บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำ" นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ กล่าว
มองขัดแย้งคือเรื่องปกติในประชาธิปไตย
เมื่อถามว่ามองหรือไม่ว่าคณะนิติราษฎร์จะมีส่วนทำให้เกิดความขัดแย้ง นายวรเจตน์ กล่าวว่า ความขัดแย้งในสังคมประชาธิปไตยถือเป็นเรื่องปกติ เป็นการใช้เหตุผลที่ต้องฝึกความเข้มแข็งทางสติปัญญา อย่างเรื่องกฎหมายทำแท้ง หากมีคนผลักดันโดยให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน สังคมแตกแยกไหม มันก็เห็นต่างกันหลากหลาย ถ้าเห็นแค่คนคิดต่างแล้วบอกขัดแย้ง แล้วเราจะก้าวไปสู่ความเป็นอารยะได้อย่างไร เรื่องแบบนี้มหาวิทยาลัยควรจะจัดให้มีการถกเถียงกันด้วยซ้ำ
โอดโดนปิดปากเผยจุดยืนตรงข้ามอธิการฯชัดหลังรัฐประหาร
เมื่อถามว่ามติกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยเช่นนี้ รู้สึกเหมือนถูกปิดปากหรือไม่ นายวรเจตน์ กล่าวว่า "รู้สึกครับ ที่บอกว่าเป็นการชี้นำมวลชนคือการกล่าวหา ประกาศกรรมการบริหารแบบนี้แย่มาก เหมือนชี้นิ้วกล่าวหาเรา ถ้าจะเกิดตุลา ก็เพราะประกาศแบบนี้ ผมชี้นำมวลชนตรงไหน ใครเห็นด้วยก็ลงชื่อ ไม่เห็นก็โต้แย้ง สังคมไม่เห็นให้แก้ ก็ไม่แก้ ก็แค่นั้น ถ้าสังคมเห็นว่าไม่ต้องแก้ ไม่แก้ก็จบ ต้องดูเนื้อหาที่ผมพูด ไม่ใช่มาดูคนฟังว่ากลุ่มไหน สีอะไร” "หัวขบวนกลุ่มนิติราษฎร์กล่าวถึงมติของกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยที่ออกมาในลักษณ์ "ปิดปาก"
ปัญหาในเรื่องม.112 มี 3 ระดับ คือ 1.ตัวบท 2.การนำไปใช้ 3.อุดมการณ์ของการใช้ตัวบท และความเข้าใจผิดแบบนี้มันนำไปสู่การล้อมปราบนักศึกษาใน 6 ตุลาฯ เหตุการณ์นั้นเป็นที่มาของการเพิ่มโทษ กฎหมายในปี 2519 นี่คือบริบทที่มาของการเพิ่มโทษ แต่มีคนคิดไกลหาว่ามีเป้าหมายที่การล้มเจ้า ในข้อเสนอที่ให้แก้ไขก็ระบุชัดว่าพระมหากษัตริย์ยังอยู่ในสถานะเดิม แต่ดำรงอย่างสง่างามและสอดคล้องในประชาธิปไตย ผมเพียงอธิบายว่าถ้าทำแบบนี้แล้วดี ถ้าไม่เชื่อผมก็ไม่ต้องแก้
แจงข้อข้องใจเหตุให้สำนักราชเลขาธิการกล่าวโทษแทนบุคคลธรรมดา
นายวรเจตน์ กล่าวต่อว่า ที่เสนอให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษบุคคลใดก็ได้นั้น เพราะว่าถึงจะมีคณะกรรมการกรองเช่นในปัจจุบัน ก็ไม่พ้นถูกกดดันอยู่ดี เราเลยไม่ให้สถาบันแจ้งความเอง แต่ก็ไม่ได้ให้องค์กรใดก็ได้เป็นคนจัดการ เราเลยเสนอให้สำนักราชเลขาธิการ ที่เป็นหน่วยราชการ ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่ใช่หน่วยงานนี้แล้วจะเป็นหน่วยงานไหนอีกทั้งจำนวนคดีที่มีการฟ้องหมิ่นฯ มันถูกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และคอป.ก็เสนอเรื่องนี้เหมือนกันแต่เป็นสำนักพระราชวัง แต่คอป.กลับไม่ถูกตั้งคำถาม
โฟกัสแค่ม.112จึงไม่ยุ่ง ป.อาญาอื่น
"เรามุ่งเน้นเกี่ยวกับ ม.112 เป็นหลัก ว่าด้วยพระเกียรติพระมหากษัตริย์ พระราชินีและรัชทายาทเป็นการเฉพาะ และบทบัญญัติที่ว่านี้จะเป็นเกณฑ์ไปแก้ไขเรื่องอื่นๆ ให้รับกัน หมายถึงแก้ตรงนี้เราไปดูในส่วนของประมุขต่างประเทศด้วย มิเช่นนั้นจะดูประหลาด แต่ถ้าเราทำทั้งหมดมันก็กลายเป็นแพ็กเกจ ไม่ใช่เรื่องม.112 อันเดียว ประเด็นมันก็ใหญ่ไป เพราะฉะนั้นจึงเอาสิ่งนี้เป็นหลักและให้อันอื่นมารับกัน ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกหาว่าอำพรางการแก้ม.112" นายวรเจตน์ กล่าวและว่า
ส่วนประเด็นที่ถูกต่อต้านอย่างหนักกรณีที่ให้สถาบันปฏิญาณตนนั้น สื่อจุดประเด็นโดยไม่มีบริบท จุดยืนเราคือระบอบประชาธิปไตยบ้านเราไม่พัฒนาเพราะอำนาจนอกระบบเข้าแทรก มีการปฏิวัติตลอดเวลา รัฐธรรมนูญที่ทำควรจะมีโครงสร้างป้องกันการรัฐประหารให้มากที่สุด กลไกที่ป้องกันรัฐธรรมนูญมันมีน้อยมาก เราจึงเสนอว่า1.ควรจะต้องมีหมวดว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร โดยทำ 19 กันยายน 49 ก่อนย้อนกลับไป 2.จะมีมาตรากำหนดว่าการแย่งชิงอำนาจอันชอบธรรมของประชาชนเป็นความผิดอาญา และถ้าอำนาจทางชอบธรรมสู่มือประชาชนแล้วให้ดำเนินคดีกับผู้แย่งชิงอำนาจ 3.ประมุขของรัฐมีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรีรัฐธรรมนูญ ประมุขของรัฐก่อนขึ้นครองราชย์จึงต้องสาบานและปฏิญาณก่อน
"ประเด็นนี้คือการให้ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง ไม่ได้มุ่งหมายกับในหลวงรัชกาลปัจจุบันเลย เพราะพระองค์ขึ้นครองราชย์ไปแล้ว และมีพระปฐมบรมราชโองการไปแล้ว แต่อันนี้เราคิดถึงเมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อใช้เทคนิคเพื่อป้องกันรัฐประหารให้มากที่สุด จะทำให้เห็นว่าแม้แต่องค์ประมุขซึ่งเรานับถือสูงสุดยังทรงปฏิญาณ ยังสาบานว่าจะพิทักษ์ ถ้าคนจะฉีกก็ต้องคิดหลายครั้ง เพราะคนที่ทำจะเท่ากับบีบให้พระองค์ต้องฝ่าฝืนคำปฏิญาณ อันนี้จะทำให้เห็นเป็นเชิงสัญลักษณ์ และเฉลิมพระเกียรติไปพร้อมกันด้วยเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์” นายวรเจตน์ กล่าว
นายวรเจตน์ กล่าวยังถึงข่าวการขอเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ผบ.ทบ.ว่า ไม่จริง ไม่เคยขอเข้าพบ แต่ถ้ากองทัพเชิญไปบรรยายก็ยินดี เชิญถามตรงไปตรงมา ตนก็พร้อมจะตอบทุกข้อสงสัย