ข่าว

'ธรรมยาตรา'ถกทางรอดผืนป่ามรดกโลก

'ธรรมยาตรา'ถกทางรอดผืนป่ามรดกโลก

31 ม.ค. 2555

'ธรรมยาตรา'เขาใหญ่-ดงพญาเย็น ถกทางรอด...ผืนป่ามรดกโลก : รายงานโดยทีมข่าวรายงานพิเศษ

             กว่า 48 วัน เครือข่ายคุ้มครองสัตว์ป่าไทยร่วมกับคณะเดินธรรมยาตรา... พระสงฆ์ อาสาสมัครกลุ่มเพื่อนเดิน เครือข่ายชาวบ้าน กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติท้องถิ่นรอบป่าผืนป่ามรดกโลก เป็นระยะทางกว่า 760 กม.ครอบคลุมทั้ง 6 จังหวัด เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกันในเรื่องที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ การฟื้นฟู และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ในรูปแบบและวิธีการต่างๆ ผ่านกิจวัตรทางพุทธศาสนา และกิจกรรมที่สร้างสรรค์ อาทิ การเล่นละคร ศิลปะดนตรี การฉายสไลด์ประกอบการบรรยาย การพูดคุยกลุ่มด้วยการสุนทรียสนทนา และกิจกรรมต่างๆ จะมุ่งเน้นในการสื่อสารและสร้างการเรียนรู้ กับกลุ่มชาวบ้านและเด็กเยาวชน
 
             ล่าสุด โครงการ "เดินธรรมยาตรา ผืนป่ามรดกโลก ป่าเขาใหญ่-ดงพญาเย็น"  ก็เสร็จสิ้นลงถึงเป้าหมายสุดท้าย ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ “นิคม พุทธา” ผู้ประสานงานเครือข่ายคุ้มครองสัตว์ป่าไทย เล่าถึงเป้าหมายของการเดินธรรมยาตราครั้งนี้ว่า ที่ผ่านมาการส่งเสริมการท่องเที่ยวมีความสอดคล้องและเหมาะสมหรือไม่ และสามารถรักษาสภาพเดิมของธรรมชาติได้ไหม จึงจำเป็นต้องหาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ โดยคณะธรรมยาตรา เริ่มออกเดินทางเท้าจากศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา (ด่านขึ้นเขาใหญ่) ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2554  จนมาสิ้นสุดวันที่ 28 มกราคม 2555 ผ่านพื้นที่ อ.ปากช่อง วังน้ำเขียว ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และทับลาน ตลอดการเดินทางได้มีโอกาสเรียนรู้ สัมผัสและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ ทำให้ทราบถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชุมชนบนผืนป่า
 
             "ได้เห็นสถานการณ์การเปลี่ยนไปของธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่าไม้ และสัตว์ป่า เห็นความพยายามของผู้คนจากในเมืองหลวงเข้ามาพึ่งพิงธรรมชาติ มีการปลูกสร้างที่พักรีสอร์ทมากมายรองรับการท่องเที่ยว ตรงกันข้ามกับความต้องการของพวกเราที่กำลังต้องการธรรมชาติ แต่สิ่งที่กระทำอยู่เป็นการทำลาย ทำร้ายธรรมชาติ ผมได้คุยกับหัวหน้าอุทยานทับลาน พบว่าในรอบ 10 ปี ผืนป่าหายไป 3 แสนกว่าไร่ โครงการของรัฐบาลพยายามที่จะทำให้ผืนป่าของแต่ละอุทยานเชื่อต่อกันอย่างทับลานกับเขาใหญ่คงเป็นไปได้ยาก เพราะมีการบุกรุก และอาจต้องใช้เงินถึง 6 พันล้านบาทในการเชื่อมอุทยานให้ติดกัน” นิคม กล่าว
 
             “นิคม” บอกอีกว่า เมื่อเดินทางไปถึง อ.ครบุรี อ.เสิงสาง และ อ.ประคำ จ.บุรีรัมย์ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ เห็นการเข้าไปบุกรุกป่า ตัดไม้ทำลายป่า เอาพื้นที่กันชนระหว่างสัตว์ป่ากับมนุษย์ ไปปลูกไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด มีการใช้สารเคมี ซึ่งมีผลต่อสิ่งมีชีวิตรายล้อมบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังพบการเข้าไปปลูกไร่ยูคาลิปตัส ที่ อ.ตาพระยา อ.วัฒนานคร อ.เมือง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ทั้งนี้ หากยังต้องการผืนป่านี้ไว้ก็คงต้องช่วยกันดูแลใน 3 ประเด็นด้วยกันคือ 1.การให้ชาวบ้านในการช่วยดูแลรักษาป่า 2.ให้ความรู้เรื่องความสำคัญเกี่ยวกับมรดกโลกให้ชุมชนให้เด็กๆ รุ่นใหม่ และ 3.จะต้องช่วยกันปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ
 
             ด้าน นพ.ศุภผล เอี่ยวเมธาวี ประธานเครือข่ายประชาชนอนุรักษ์มรดกโลก บอกว่า ขณะนี้วิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ ส่งผลให้อนาคตอันใกล้นี้ มวลมนุษยชาติจะพบกับความเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 3 ประการ คือ 1.เรื่องคอมพิวเตอร์หรือไมโครชิพ ทุกวันนี้ มีไมรโครชิพอยู่รายล้อมตัวเรา และมันจะเข้าไปทุกลมหายใจ 2.การปฏิวัติสายพันธุกรรมของชีวิตท่านทั้งหมด หรือการโคลนนิ่ง และ 3.จะมีคนป่วยเป็นโรคเลือด จะมียาปฏิชีวินะใหม่ๆ เพื่อยับยั้งโรคสายพันธุ์ใหม่ๆ และนี่เองจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ หากเราสามารถที่จะช่วยเหลือฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับมาได้ จะกลายเป็นเครื่องมือที่จะเป็นผู้ต่อกรกับสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
 
             ขณะที่ อ.ระวี ถาวร จากศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มองว่า ทุกวันนี้มีปัญหามากมายเกิดขึ้นในผืนป่า สัตว์ป่า ซึ่งความยากจนของคนมันสวนทางกับมรดกโลก ข้อกฎหมายและกลไกทางสังคม ของผู้ที่อยู่รายล้อมแนวกันชนยังไม่เพียงพอต่อการดูแลรักษามรดกโลกผืนนี้ไว้ได้ จึงต้องหันกลับมามองว่า ทำอย่างไรเราจะสามารถสร้างเครือข่ายที่รายล้อมมรดกโลกให้เข้มแข็ง และสามารถที่จะปกป้องพื้นที่ไว้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดนั้น คนเราต้องมีความเข้าใจในธรรมะ เพื่อเชื่อมโยงธรรมชาติกับชุมชน ต้องฟื้นฟูธรรมะในใจคนก่อน แล้วถึงจะเข้าใจธรรมชาติ!!

.............

(หมายเหตุ :'ธรรมยาตรา'เขาใหญ่-ดงพญาเย็น ถกทางรอด...ผืนป่ามรดกโลก : รายงานโดยทีมข่าวรายงานพิเศษ)